8 พฤศจิกายน 2567…ขณะถกเถียงกันอย่างเปิดเผยเรื่องความท้าทายที่อุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรปเผชิญจากคู่แข่งชาวจีนที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและราคาถูกกว่า สมาชิกรัฐสภาใช้เวลาหลายชั่วโมงโต้เถียงเกี่ยวกับนโยบาย Green Deal เพื่อยุติการใช้รถยนต์เบนซินและดีเซลในยุโรป
การอภิปรายในรัฐสภายุโรปเกี่ยวกับ “วิกฤต” ที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเผชิญ ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปปกป้องการห้ามการขายรถยนต์เบนซินและดีเซลใหม่ตั้งแต่ปี 2035 และย้ำถึงการแบ่งฝ่ายซ้ายและขวาในหมู่สมาชิกรัฐสภายุโรปเกี่ยวกับเป้าหมายนโยบายแก้ปัญหาโลกเดือดที่สำคัญ
Valdis Dombrovskis กรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ กล่าวกับสมาชิกรัฐสภายุโรปในเมืองสตราสบูร์กว่า เป้าหมายดังกล่าวให้ภาพชัดเจนแก่ผู้ผลิตและนักลงทุน และให้เวลาพอสำหรับวางแผนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยุติธรรมต่อทุกฝ่าย Dombrovskis ย้ำว่า มีเป้าหมายผูกมัดเรื่องการปรับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น จุดชาร์จไฟฟ้า โดยยอมรับว่าการเปิดตัวในยุโรป “ไม่สม่ำเสมอ” จนถึงตอนนี้
“การขยายและกระจายโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จอย่างเท่าเทียมยังต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อรองรับการนำรถยนต์ไฟฟ้าในทุกประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมาใช้ที่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น”
Jens Gieseke หัวหน้าฝ่ายนโยบายการขนส่งของพรรคประชาชนยุโรป (EPP) ซึ่งอยู่ฝ่ายขวา หยิบยกประเด็นเดียวกันนี้ขึ้นมาบอกว่า “การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ผล” สมาชิกรัฐสภาเยอรมนีกล่าวว่า ยุโรปไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน และขาด “โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า”
นอกจาก Gieseke ยังมีสมาชิกรัฐสภายุโรปคนอื่นๆ จาก EPP และพรรคการเมืองฝ่ายขวาชี้ให้เห็นถึงเส้นตายที่ใกล้เข้ามาสำหรับเป้าหมายชั่วคราวในการลดการปล่อย CO2 เฉลี่ยของรถยนต์ โดยผู้ผลิตทำไม่ได้ตามเป้า และต้องเสียค่าปรับหลายพันล้านยูโรหากไม่เปลี่ยนแปลงพอร์ตโฟลิโอการขายอย่างจริงจังภายในสิ้นปี 2025
“ปี 2025 เรากำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์” Gieseke เตือน และเสริมว่า “อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่ ขอบเขตของกรอบกฎหมายแคบเกินไป ไม่ยืดหยุ่น ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก”
ข้อมูลเผยแพร่เดือนมิถุนายนโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป ระบุว่า ปี 2023 การขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั่วสหภาพยุโรป นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ อยู่ที่ 10.7 ล้านคัน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 106.6 กรัมต่อกิโลเมตรภายใต้เงื่อนไขการทดสอบ ซึ่งต่ำกว่าขีดจำกัดปัจจุบันที่ 115.1 กรัม แต่กำหนดให้เข้มงวดขึ้นเป็น 93.6 กรัมในปีหน้าภายใต้กฎหมายที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2019
ความเป็นจริง ผู้ผลิตรถยนต์ต้องจ่ายค่าปรับ 95 ยูโร ต่อรถทุกคันที่ขายได้ และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิน ค่าเฉลี่ยทุกๆ 1 กรัม ข้อมูลยอดขายและการปล่อยมลพิษของปีที่แล้ว ระบุว่า หากเกิดขึ้นซ้ำอีกในปี 2025 ทั้งอุตสาหกรรมจะเสียค่าปรับมากกว่า 13,000 ล้านยูโร ถ้าเป็นรถตู้ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นอีกสองสามพันล้านยูโร
สำหรับ Gieseke วิธีแก้ปัญหาอยู่ที่การห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งเขากล่าวว่าเป็น “คำขอเก่า” ของนักอนุรักษ์นิยมชาวเยอรมันภายใน EPP เขายังเรียกร้องให้มีแนวทางลดคาร์บอนกว้างกว่าที่ทีอยู่ “การเน้นยานยนต์ไฟฟ้าเป็นทางตัน ปัจจุบันต้องการเทคโนโลยีหลากหลาย เราต้องตระหนักถึงเชื้อเพลิงที่เป็นกลางสำหรับการแก้ปัญหาด้วย” สมาชิกสภายุโรปกล่าว
Mohammed Chahim พรรคสังคมนิยม เตือนว่าจีนกำลัง “แซงหน้า” สหภาพยุโรปในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โดยสะท้อนคำพูดของ Dombrovskis ที่ว่าผู้ผลิตในยุโรปต้องเผชิญกับต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงกว่าคู่แข่งหลักประมาณ 30%
“ราคารถยนต์ไฟฟ้าของจีนถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเป็นผู้นำเทคโนโลยีดังกล่าว” สมาชิกรัฐสภาเนเธอร์แลนด์เตือน แต่เขาโต้แย้งว่าวิธีแก้ปัญหาไม่ใช่การละทิ้งเป้าหมายนโยบายด้านสภาพอากาศ
“บริษัทและเพื่อนร่วมงานที่ล็อบบี้ให้มีการเลื่อนเวลาและยกเลิกกฎหมายคิดถึงแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงอนาคตของคนงาน ที่สำคัญกว่าคือผู้บริโภคในยุโรป” ชาฮิมกล่าว
แม้ Chahim จะพูดอย่างนั้น แต่การโต้เถียงระหว่างสมาชิกรัฐสภาดูเหมือนจะมองข้ามประเด็นการแก้ไขช่องว่างทางเทคโนโลยีระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าของจีน และการปิดโรงงานทั่วสหภาพยุโรป สหภาพยุโรปได้จุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าตอบโต้กันด้วยการกำหนดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยอ้างถึงการที่รัฐบาลปักกิ่งปฏิเสธว่าไม่ได้ให้เงินอุดหนุนทำให้เกิดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม Dombrovskis เพิ่มเติมว่า อุตสาหกรรมของจีนก้าวหน้ากว่าทั้งเรื่อง
“แบตเตอรี่ ซอฟต์แวร์ และระบบอินโฟเทนเมนต์” เขากล่าว “ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันทำเรื่อง Net Zero และตั้งข้อสังเกตว่า สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศคาดการณ์ว่า 1 ใน 5 คันของรถยนต์ที่ขายในปีนี้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า”
“ยุโรปไม่ควรล้าหลัง และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับเรื่องนี้อีกต่อไป” คณะกรรมาธิการเตือน
ที่มา