5-6 มกราคม 2568…ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีใหม่ๆเพื่อจัดการปัญหาสภาพอากาศในปี 2024 ลองทำบัญชีเอง รายงานจาก Project Drawdown พบว่า การเปลี่ยนแปลงวิธีทำธุรกรรมการเงิน หรือเปลี่ยนธนาคารที่ใช้ สามารถส่งผลกระทบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(GHG)โดยรวมได้มากกว่าการเลือกรับประทานอาหารมังสวิรัติ
Jamie Alexander, Julian Kraus-Polk และ Paul Moinester นำเสนอรายงาน “Saving for the Planet” เผยแพร่ในเดือนธันวาคม โดย NGO ที่เน้นทำเรื่องแก้ปัญหาสภาพอากาศที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา รายงานนี้เสนอข้อมูลการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยหวังว่าจะบรรลุเป้าหมายข้อตกลงปารีสที่อุณหภูมิ 1.5°C และหลีกเลี่ยงผลกระทบเลวร้ายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ผู้เขียนกล่าวว่า เนื่องจากมีข้อมูลสำคัญขาดตกบกพร่องจำนวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจผลกระทบต่อสภาพอากาศจากการทำธุรกรรม และไม่เข้าใจว่าเงินอันน้อยนิดของพวกเขา ส่งผลต่างจากที่วัดเป็นหลักพันล้านหรือล้านล้านได้อย่างไร
รายงานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าทางเลือกของการทำธุรกรรมส่งผลต่อการปล่อยGHGโดยตรง การปล่อยGHGทางอ้อม (การเปลี่ยนแปลงของธนาคารส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรณีนี้) และการปล่อยGHGมีต้นทุนอย่างไร การปล่อยGHGที่มีเงินทุนสนับสนุนเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึงในบริบทของสภาพอากาศ เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลและบริษัทที่ไม่ดำเนินการแก้ปัญหาสภาพอากาศอย่างจริงจัง
การปล่อยGHGเหล่านี้ถือเป็นการปล่อยทางอ้อมประเภทหนึ่งเมื่อเทียบกับการปล่อยโดยตรง เช่น Carbon Footprint ที่ผู้บริโภคสร้างขึ้นเองเมื่อทำความร้อนในบ้าน บินไปเยี่ยมครอบครัวในช่วงวันหยุด ซื้อและใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่
การปล่อยGHGที่เกี่ยวข้องกับธนาคารและสถาบันก็เช่นกัน อันที่จริง ผู้เขียนได้อ้างถึงรายงานของ CDP ในปี 2020 ซึ่งระบุว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินของธนาคารนั้นมากกว่าการปล่อยโดยตรง (เช่น การดำเนินการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก) ที่ธนาคารมักจะเปิดเผยในรายงานประจำปี และเอกสารของนักลงทุนถึง 700 เท่า และ CDP พบว่า มีเพียงประมาณ 25% ของสถาบันเท่านั้นที่เปิดเผยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกไป
ด้านการสนับสนุนทางการเงิน รายงาน Project Drawdown ระบุว่าระหว่างปี 2016 ถึง 2022 เงินทุนของธนาคารทั่วโลกเพียง 7% เท่านั้นที่ถูกใช้ไปกับโครงการพลังงานหมุนเวียน และการย้ายเงินฝากของคุณไปยังสถาบันอื่นสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง โดยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานระดับโลกได้ เงินของคุณมากถึง 20% ถึง 30% อาจมีส่วนเกี่ยวข้องทางอ้อมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะเงินถูกใช้เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดวิกฤตสภาพอากาศ
ในสหรัฐอเมริกา ธุรกรรมโดยเฉลี่ย (เช่น บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน) มีเงินอยู่ประมาณ 8,000 ดอลลาร์ในปี 2022 หากคนๆหนึ่งโอนเงิน 8,000 ดอลลาร์จากธนาคารที่ไม่สนใจแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศไปยังธนาคารที่ “เน้นความรับผิดชอบต่อสภาพภูมิอากาศ” พวกเขาสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมได้ประมาณสองเท่าต่อปีเมื่อเทียบกับการรับประทานอาหารมังสวิรัติ
รายงานดังกล่าวได้ประเมินธนาคารชั้นนำ 11 แห่ง (Bank of America, Citigroup, JPMorgan Chase และ Wells Fargo เป็นต้น) พบว่าเงินฝากและสินทรัพย์ทุกๆ 1,000 ดอลลาร์ จะก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับเดินทางจากนิวยอร์กไปซีแอตเทิล (ด้วยเครื่องบินประมาณ 5 ชั่วโมง 20 นาที) อย่างไรก็ตาม แม้ผู้คนที่ใส่ใจเรื่องสภาพภูมิอากาศจะใส่ใจเรื่องอาหารและไมล์สะสมด้วย แต่การใช้บริการธนาคารเป็นทางเลือกเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศกลับยังไม่ชัดตลอดมา
ผู้เขียนรายงานเรียกร้องให้ผู้คนลงมือแก้ปัญหาสภาพอากาศด้านอื่นๆ ต่อไป การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในที่อยู่อาศัยจะช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนส่วนบุคคล การขับรถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการตัดสินใจใช้บริการธนาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า 2 เท่า
นี่เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่ควรพิจารณา ซึ่งมีผลกระทบในวงกว้าง รายงานไม่ได้รับรองธนาคารใดๆ (หรือกล่าวร้ายธนาคารใดๆ ก็ตาม) จุดสำคัญ คือ มีลิงก์ไปยัง Bank for Good, Bank Green และเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อช่วยคำนวณผลกระทบและสำรวจทางเลือกทางการเงินของคุณ ลิงค์นี้ไม่ใช่แค่สำหรับคนรวยเท่านั้น ธนาคารชุมชนก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน
“การฝากถอนโอนเงินเป็นสิ่งที่ทำได้เลย ทั้งเพื่อส่งสัญญาณไปสู่ระบบ ช่วยเปลี่ยนกระแสเงินทุนออกจากสถาบันการธนาคารที่ให้เงินทุนแก่ภาคส่วนที่ปล่อยคาร์บอนเข้มข้น ไปสู่ธนาคารที่ไม่ให้เงินทุนดังกล่าว” ผู้เขียนรายงานอธิบายในตอนท้าย
ที่มา