27 มกราคม 2568…ในยุคที่โลกเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การพูดถึงการลด (Reduce) หรือใช้ซ้ำ (Reuse) อาจไม่เพียงพออีกต่อไป แนวคิด Regenerative หรือการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศ กลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ
ในบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้ก่อตั้งร่วม RegenASIA จะมาเปิดมุมมองถึงความสำคัญของ Regenerative และวิธีการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเอเชีย พร้อมด้วย มาร์ค บัคลีย์ ผู้ร่วมก่อตั้งที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นของการฟื้นฟูในทุกบริบท และตัวอย่างจริงจาก ฟิวส์-วานิชย์ วันทวี ผู้ก่อตั้ง ว. ทวีฟาร์ม ที่เลี้ยงหมูแบบ Regenerative ฟื้นฟูดินและระบบนิเวศ สู่อนาคตที่ยั่งยืนทั้งสำหรับธรรมชาติและมนุษย์
นี่คือเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากการให้ธรรมชาตินำทาง และการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่เพียงผลิต แต่ยังฟื้นฟูโลกไปพร้อมกัน
Regenerative
ความจำเป็นของโลกยุคใหม่
ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ผู้ก่อตั้งร่วม RegenASIA เริ่มเล่าถึงสิ่งคนทั่วไปมักจะพูดถึง 3R (Reduce, Reuse, Recycle) กันมาตลอด แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น
“Regenerative คือการยกระดับ เราไม่ได้แค่ลดผลกระทบ แต่เราต้องสร้างระบบที่คืนชีวิตและเสริมสร้างทรัพยากรให้มากขึ้น เราต้องมองว่าแค่ ‘ลด’ หรือ ‘ใช้ซ้ำ’ ยังไม่เพียงพอ เพราะโลกต้องการระบบที่คืนความสมดุลและพลังชีวิตให้เกิดขึ้นอีกครั้ง”
เพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น ดร.ศิริกุล เปรียบเทียบ Regenerative กับสุขภาพของมนุษย์
“ถ้าเราเจ็บป่วย การรักษาอาการคือสิ่งที่เราทำได้ในปัจจุบัน แต่ถ้าเราไม่ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง เราก็จะกลับมาป่วยซ้ำ ระบบนิเวศของโลกก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราแค่ลดการใช้ทรัพยากรโดยไม่ฟื้นฟูดิน น้ำ หรือป่าไม้ อนาคตของเราก็จะไม่มีพลังชีวิตที่ยั่งยืน”
RegenASIA
ภารกิจสร้างการเปลี่ยนแปลงในเอเชีย
“เอเชียเป็นศูนย์กลางของการผลิตอาหารโลก และยังเป็นภูมิภาคที่มีภูมิปัญญาและความหลากหลายทางธรรมชาติมากที่สุด แต่เรากลับใช้ทรัพยากรมากเกินกว่าที่ธรรมชาติจะฟื้นตัวได้ RegenASIA มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิธีคิดและสร้างการฟื้นฟูที่เหมาะสมกับภูมิภาคนี้” ดร.ศิริกุลกล่าว
RegenASIA ไม่เพียงเป็นแค่ผู้ให้ความรู้ แต่ยังเป็น “ตัวกลาง” ที่เชื่อมโยงเกษตรกรชุมชนและธุรกิจต่างๆให้มาทำงานร่วมกันในระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน
มาร์ค บัคลีย์ ผู้ร่วมก่อตั้ง RegenASIA กล่าวเสริมว่า “Regenerative เป็นคำที่ประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับและทุกบริบท เพราะมันคือพื้นฐานของการใช้ชีวิตของธรรมชาติที่ปรับตัวและฟื้นฟูตัวเองได้มาตลอด 3.8 พันล้านปี เราเพียงต้องเรียนรู้จากธรรมชาติ และนำสิ่งนี้มาปรับใช้ในระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น”
มาร์คยังชี้ให้เห็นว่า การเรียนรู้ในพื้นที่จริงเป็นหัวใจสำคัญของ RegenASIA
“การได้สัมผัสดินจริง ๆ เห็นการทำงานของจุลินทรีย์ และเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงความสำคัญของการฟื้นฟูมากกว่าการฟังบรรยายในห้องประชุม”
ว. ทวีฟาร์ม
ตัวอย่างความสำเร็จของการเลี้ยงแบบ Regenerative
“ธรรมชาติเป็นครูที่ดีที่สุด และเราควรให้ธรรมชาตินำทางเรา”
ฟิวส์-วานิชย์ วันทวี ผู้ก่อตั้ง ว. ทวีฟาร์ม ต.บ้านเม็ง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น กล่าวต่อเนื่องถึง ฟาร์มหมูของเขาไม่ใช่แค่สถานที่ผลิตเนื้อหมูคุณภาพสูง แต่เป็นพื้นที่ที่ทุกชีวิตในระบบนิเวศทำงานร่วมกัน
หัวใจสำคัญของการเลี้ยงหมูแบบ Regenerative คือการฟื้นฟูดิน ฟิวส์อธิบายว่าดินในฟาร์มของเขาเต็มไปด้วยจุลินทรีย์และแร่ธาตุที่ช่วยสร้างสุขภาพดีให้กับหมู

การเรียนรู้สไตล์ RegenASIA อยู่กับดิน แล้วจะเห็นของจริงว่า ดิน ดีมีจุลินทรีย์ นั่นคืออาหารที่ดีของหมูที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร
“ดินที่ดีไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารในพืชและสัตว์ แต่มันยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศทั้งหมด หมูในฟาร์มไม่ได้เป็นเพียงผู้รับ แต่ยังช่วยพลิกหน้าดิน เพิ่มการหมุนเวียนจุลินทรีย์ และฟื้นฟูชีวิตในพื้นที่ด้วย”
ฟิวส์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่เปลี่ยนเขามาสู่แนวทาง Regenerative
“วันหนึ่งผมนั่งอยู่ใต้ต้นมะขามแล้วมองเห็นการทำงานร่วมกันของธรรมชาติ ทั้งแสงแดด แมลง หนอน และดิน ทุกอย่างทำงานอย่างสมดุลโดยไม่มีใครควบคุม ผมรู้เลยว่ามนุษย์ไม่ควรเป็นศูนย์กลาง แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้”
Regenerative
ทางเลือกเดียวเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ดร.ศิริกุลกล่าวทิ้งท้ายว่า “Regenerative ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ ระบบเศรษฐกิจและระบบธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน หากเราเริ่มฟื้นฟูและปรับตัวในวันนี้”
ฟิวส์เสริมด้วยความหวังว่า “การเลี้ยงหมูแบบ Regenerative ไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่มันคือการสร้างอนาคตให้ลูกหลาน เราไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเรา แต่เพื่อแผ่นดินที่เรายืมมาจากคนรุ่นถัดไป”
มาร์ค ทิ้งท้ายด้วยมุมมองว่า “Regenerative ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแนวคิดใหม่ แต่คือการกลับมาสู่พื้นฐานของธรรมชาติ ทุกอย่างในระบบธรรมชาติปรับตัวและฟื้นฟูตัวเองได้ เราเพียงแค่ต้องเรียนรู้และนำมาใช้ในทุกสิ่งที่เราสร้างขึ้น”
ถึงบรรทัดนี้ แนวคิด Regenerative ไม่ใช่เพียงทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้นในยุคที่โลกเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก แนวทางนี้ไม่ใช่แค่การลดผลกระทบหรือใช้ทรัพยากรซ้ำ แต่เป็นการสร้างระบบที่ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศให้กลับมามีพลังชีวิต พร้อมทั้งสร้างความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
RegenASIA จะจุดประกายการในเอเชีย ซึ่งนับเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วย Wisdom โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงชุมชน เกษตรกร และองค์กรให้มาทำงานร่วมกันในระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน ดร.ศิริกุล เลากัยกุล และมาร์ค บัคลีย์ เน้นถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากธรรมชาติและการฟื้นฟูระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น
ตัวอย่างที่จับต้องได้คือ ว. ทวีฟาร์ม ซึ่งใช้แนวทาง Regenerative ในการเลี้ยงหมู โดยให้ธรรมชาติเป็นครู ฟื้นฟูดิน และสร้างระบบนิเวศที่สมดุล หมูในฟาร์มไม่ได้เป็นเพียงผู้รับ แต่มีส่วนช่วยคืนชีวิตให้ดินและสิ่งแวดล้อม
แนวคิดนี้แสดงให้เห็นว่า Regenerative คือคำตอบของโลกยุคใหม่ที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ แต่ยังสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับมนุษยชาติ หากเราลงมือเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้ โลกของคนรุ่นต่อไปจะยังคงมีพลังชีวิตที่เต็มเปี่ยมและสมดุลอย่างแท้จริง