4 เมษายน 2564…SD Perspectives ติดตามความร่วมมือของของสมาชิกหอการค้าเยอรมัน-ไทยนำโดย “เมอร์เซเดส-เบนซ์” และสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย
ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุชัดเจนว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของฝุ่นละออง PM 2.5 นั้นมาจากการเดินทางโดยรถยนต์ และเฉพาะในกรุงเทพฯ เพียงเมืองเดียวก็มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนอยู่มากกว่า 10 ล้านคัน ปัญหา PM 2.5 จึงยังเป็นปัญหาใหญ่ที่คนไทยทุกภาคส่วนต้องหันมาร่วมมือกันแก้ไข
เกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย อันเดรียส ริชเทอร์ ตัวแทนจากหอการค้าเยอรมัน-ไทย โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความร่วมมือเพื่ออากาศสะอาด (Clean Air Initiative) อย่างเป็นทางการ
โครงการ “Charge to Change” ภายใต้ความร่วมมือ “Clean Air Initiative” ของเมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมสานต่อพันธกิจในการกระตุ้นให้ “ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทุกยี่ห้อ” ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาชาร์จไฟฟ้าให้มากขึ้น ทำให้ประสบการณ์ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเป็นประสบการณ์ที่ทั้งสะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุด และผสานความร่วมมือกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ การพัฒนาแอพพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือ และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนารถยนต์อีวีเพิ่มเติมด้วย
สอดคล้องกับพันธกิจและสิ่งที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ทำอย่างต่อเนื่องมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการวางเป้าหมายในการเป็นบริษัทที่เป็นกลางทางคาร์บอนในทุกโรงงานผลิตของบริษัททั่วโลกในปี 2565 เรื่อยไปจนถึงการที่ริเริ่มโครงการ “Charge to Change” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมาชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้บ่อยขึ้น เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา PM 2.5 สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น พร้อมทั้งสร้างสุขภาวะที่ดีขึ้นให้กับคนไทย
นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายไว้อีกว่าภายในปี 2573 ร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ต้องเป็น xEVs ซึ่งหมายถึงรวมทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า 100% เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งเป้าหมายเหล่านี้ไว้เพราะเชื่อว่า ผู้ประกอบการในภาคการผลิตรถยนต์ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสร้างสภาวะอากาศที่ดีด้วย ซึ่งในส่วนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นอกจากการเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ยังได้จัดจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไปแล้วกว่า 20,000 คันนับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน
การนำโครงการ “Charge to Change” มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ “Clean Air Initiative” จะช่วยสร้างความตระหนัก และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและได้ผล