29 กรกฎาคม 2564…บริษัทเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจาก Bono แถลงว่าบริษัทซึ่งอนุญาตให้พนักงานของตนช่วยเหลือสังคม ส่งผลให้อัตราการลาออกของพนักงานลดลง 57%
มีคำถามว่า อดีตรองประธานาธิบดี Al Gore, Bono ร็อคสตาร์และนักร้องนำของวง U2 กับ Jeff Skoll ชาวแคนาดาโดยกำเนิด ซึ่งเป็นผู้บริหารคนแรกของ eBay มีอะไรที่เหมือนกัน?
ทั้ง 3 คนได้กลายเป็นผู้ประกอบการที่ชอบการช่วยเหลือสังคมที่โดดเด่น – ล้วนเป็นผู้ใจบุญที่แสวงหาแนวทางใหม่ในการลดความยากไร้และขาดแคลนทั่วโลก ทั้ง 3 คนลงทุนในบริษัทชื่อ Benevity ผู้เน้นภารกิจ “ช่วยเหลือบรรดาแบรนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ทำให้ Purpose ของพวกเขากลายเป็นจริง”
Benevity เริ่มต้นจากร้าน Shawarma ในปี 2008 อดีต CEO ของ Bryan de Lottinville ได้ก่อตั้งบริษัทขึ้นเพื่อส่งเสริมการบริจาคเพื่อการกุศลของบริษัทต่างๆ โดยช่วยให้พวกเขาเห็นว่าการช่วยเหลือสังคมที่ถูกต้อง ไม่ควรใช้การแจกของหรือให้ฟรีๆ
วันนี้ Benevity ช่วยให้บริษัทต่างๆ เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานและลูกค้าด้วยแพลตฟอร์ม Gamified ไม่ว่าจะเป็น พนักงาน และลูกค้า ติดตามการบริจาคเพื่อการกุศล การทำอย่างสมัครใจ และการช่วยเหลือสังคมในเชิงบวกได้ง่ายและสนุก จากนั้นจะติดตามผลการมีส่วนร่วมของพวกเขา
Benevity ให้ข้อมูลว่า บรรดาบริษัทที่มีกิจกรรมช่วยเหลือสังคม อัตราการลาออกของพนักงานลดลง 57% และช่วยลูกค้ารายใหญ่ เช่น Microsoft, Apple, Telus, Kroger และ Visa ประหยัดได้หลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปี
ด้วยพนักงานมากกว่า 650 คนและผู้ใช้สองล้านคน Benevity ได้บริจาคมูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ ให้แก่ 300,000 องค์กรการกุศลทั่วโลก ในเดือนธันวาคม Benevity ได้กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ของแคนาดา – บริษัทมีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ จากการเข้าซื้อของ HG Capital บริษัทในลอนดอน
2 เดือนต่อมา HG ได้นำพันธมิตรรายใหม่เข้ามา เป็น“นักลงทุนเชิงกลยุทธ์รายย่อย” 2 ราย คือ Bono และ Skoll’s Rise Fund และ Generation ที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบริษัทด้านการลงทุนที่สร้างผลกระทบทางสังคม ก่อตั้งโดย Al Gore
ในเวลาเดียวกัน de Lottinville ก้าวลงจากตำแหน่งซีอีโอ เขาถูกแทนที่โดย Kelly Schmitt ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Benevity ซึ่งน่ายินดีว่าเจ้าของต้องการให้ผู้บริหารคนใหม่ยังสานต่องานเดิม จุดที่สำคัญ คือ โรคระบาดในปี 2020 ทำให้หลายองค์กรเห็นคุณค่าของการมี Purpose ร่วมกัน
Sona Khosla chief impact officer ของ Benevity กล่าวว่า “เป็นปีที่บทบาทของธุรกิจมีความแข็งแกร่งในฐานะเป็นต้นกำเนิดของความไว้วางใจ ความหวัง การเชื่อมความสัมพันธ์ และความเห็นอกเห็นใจ” เธอบอกว่า องค์กรต่างๆ ต้องพัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์เหล่านั้น นั่นหมายความว่า Benevity คาดว่าบริษัทมีโอกาสเติบโตอย่างมากปีหน้า เห็นได้จากการมีแผนจ้างพนักงานใหม่ 300 คน
Khosla ยังดูแล Impact Labs แผนกวิจัยใหม่ของ Benevity ซึ่งติดตามแนวโน้มอุตสาหกรรม รวบรวมข้อมูล และสำรวจปัญหาใหม่ๆ เช่น สุขภาพจิต เพื่อช่วยให้องค์กรเข้าใจและวัดผลการดำเนินการทางสังคมได้ดียิ่งขึ้น “เราต้องการให้ผู้คนสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาสนใจ ในเวลาที่ต้องการ” เธอกล่าว “เราใช้เงินทุนทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้”
Benevity มองเห็นโอกาสมากมายที่จะขยายออกไปจากการทำความดี นอกเหนือจากงานด้าน HR แล้ว ยังช่วยให้ลูกค้าปลูกฝังเรื่อง Purpose ลงไปในผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ทางการตลาดของตนด้วย โดยบริษัทนำเสนอเวิร์กบุ๊กและชุดเครื่องมือเพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น Pride หรือ Earth Day และขณะนี้ได้ช่วยให้ลูกค้าพัฒนาความคิดริเริ่ม “ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร” ให้กลายเป็นโปรแกรม ESG เชิงกลยุทธ์ (ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล)
กับส่วนปลายสุดของห่วงโซ่อุปทาน Benevity เพิ่มการเช็คกระบวนการทำงานให้แก่องค์กรการกุศลขนาดเล็กมากขึ้น ลดการทำงานที่เป็นคอขวดขององค์กรขนาดใหญ่ รวมถึงช่วยให้องค์กร NGO ได้รับเงินเร็วขึ้น
Bono ไม่เคยมาที่สำนักงานของ Benevity ริมฝั่งแม่น้ำ Bow อัลกอร์ก็ไม่เคยแวะมาดื่มกาแฟ มีเพียงผู้นำหลายคนจาก Generation and Rise เข้ามาเป็นกรรมการบริษัทของ Benevity ซึ่งที่ปรึกษาใหม่ดูจริงจังมากในการช่วยเหลือ ดังที่ Khosla กล่าวว่า บริษัทส่วนใหญ่ที่มีโครงการ ESG วัดผลความก้าวหน้าด้านธรรมาภิบาลและด้านสิ่งแวดล้อมได้ แต่ไม่รู้ว่าจะวัดผลกระทบทางสังคมอย่างไร Benevity กำลังเป็นผู้นำเรื่องการโปรโมท หาปริมาณ และทำให้ความดีเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุน ให้อยู่ใน list เป็นระดับ A จะทำอย่างไร?
ที่มา