19 กุมภาพันธ์ 2567…สถาบันไทยพัฒน์ ผู้บุกเบิกการประเมินและจัดระดับความยั่งยืนของกิจการในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 ล่าสุด เปิดตัว ESG Premium เครื่องมือวัดมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ด้วยการประเมินส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัย ESG เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
เครื่องมือ ESG Premium ที่พัฒนาขึ้น ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยข้อมูลเชิงปริมาณที่ใช้ ประกอบด้วย ยอดการลงทุนสีเขียว (Green Investments) มูลค่าผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Value) และผลการดำเนินธุรกิจ (Business Conduct) ที่ใช้เกณฑ์อ้างอิงตามมาตรฐาน ISAR ขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ใช้ ประกอบด้วย ตัววัดด้าน ESG จำนวน 30 รายการ ที่เป็นไปตาม WFE ESG Metrics ซึ่งสมาพันธ์ตลาดหลักทรัพย์โลกแนะนำให้ใช้ชุดตัวชี้วัดดังกล่าวเป็นข้อมูลฐาน (Baseline) สำหรับการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ให้แก่ผู้ลงทุน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง
ในการคำนวณ ESG Premium จะใช้ข้อมูล ESG Score ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ มาดำเนินการทางคณิตศาสตร์กับข้อมูล ESG Portion ที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ เพื่อหาส่วนล้ำทางมูลค่า (Premium) ในผลตอบแทนจากการลงทุนของแต่ละหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ค่า ESG Premium ในการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดจากปัจจัย ESG ในรูปของตัวเลขทางการเงินระหว่างกิจการที่ไปลงทุนได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 6% และบริษัท B มีตัวเลข ESG Premium อยู่ที่ 4% หมายความว่า ในมูลค่าการลงทุน 100 บาท บริษัท A และบริษัท B มีส่วนล้ำทางมูลค่าจากปัจจัย ESG อยู่จำนวน 6 บาท และ 4 บาทตามลำดับ ทำให้ผู้ลงทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่ยั่งยืน สามารถใช้ตัวเลข ESG Premium พิจารณาเลือกลงทุนในหุ้น A มากกว่าหุ้น B เนื่องจากผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่สะท้อนในผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัท A มีมูลค่าที่สูงกว่าบริษัท B
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า การพัฒนาเครื่องมือ ESG Premium ถือเป็นมิติใหม่แห่งการประเมินมูลค่าความยั่งยืนของกิจการ ที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ในการเปรียบเทียบว่าหลักทรัพย์ตัวใดในพอร์ตการลงทุน ที่ให้ Premium จากปัจจัย ESG ได้สูงกว่าหรือต่ำกว่าหลักทรัพย์ตัวอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถปรับสัดส่วนและน้ำหนักการลงทุนระหว่างหลักทรัพย์ที่อยู่ในพอร์ต ตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่เกี่ยวกับความยั่งยืนได้อย่างตรงจุด
“บริษัทจัดการกองทุนรวมที่มีการดูแลบริหารกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน สามารถนำเครื่องมือ ESG Premium ไปใช้ในกระบวนการวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนและตอบสนองต่อเป้าหมายที่กองทุนรวมต้องการบรรลุ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลลัพธ์เชิงบวกจากการลงทุน ทั้งผลจากการบริหารจัดการลงทุนอย่างยั่งยืน และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อมโดยรวม”
เครื่องมือ ESG Premium ที่สถาบันไทยพัฒน์พัฒนาขึ้น ยังมุ่งตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืนในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน (อาทิ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองอีทีเอฟ กองทรัสต์) ที่มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรา 9 ในข้อบังคับว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลการเงินที่ยั่งยืน (SFDR) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเริ่มมีผลบังคับให้ต้องเปิดเผยในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2023 (สำหรับรอบบัญชีปี ค.ศ. 2022) เป็นต้นมา