19-20 ตุลาคม 2562…การรุกประเด็นโลก Packaging Goal ของ โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) สร้าง Impact กับ 2 บจ.ใน ตลท.ถึงผู้บริโภคตรง ๆ เพื่อส่งเสริมการคัดแยกและจัดเก็บวัสดุรีไซเคิลเพื่อลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน
ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) สร้าง Awarness ในเรื่อง “การคัดแยกขยะ” ในวงกว้างประเดิมผ่าน
1.บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
การจับมือกันเกิด โครงการ “โค้กขอคืน x Central Group Journey to Zero” ส่งเสริมให้เกิดการคัดแยกขยะ และนำวัสดุที่สามารถรีไซเคิลไปพัฒนาต่อให้เกิดประโยชน์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะดำเนินการผ่านผ่านศูนย์การค้าของกลุ่มบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (CPN) นำร่อง 2 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ และเซ็นทรัลพลาซา บางนา ด้วยการนำขยะที่เกิดจากร้านอาหารในเครือบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว กลับมารีไซเคิล
ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัลกล่าวว่า จะปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ และพัฒนาระบบการจัดเก็บให้เหมาะสม เช่น การบริหารจัดเก็บและจัดการพื้นที่ในการแยกขยะ โดยใช้ระบบของโค้กกับพันธมิตร ทดลองสร้างระบบการจัดเก็บวัสดุบรรจุภัณฑ์ชนิดที่ไม่เก็บคืน อันได้แก่ ขวดพลาสติก PET กระป๋องอลูมิเนียม ขวดแก้วชนิดไม่คืนขวด และกล่องเครื่องดื่ม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการแยกขยะอย่างเป็นระบบ
การทำงานตามระบบดังกล่าว โคคา-โคล่า ได้จับมือกับสตาร์ตอัพเจ้าของแพลตฟอร์มการจัดเก็บขยะสมัยใหม่อย่าง GEPP ให้เข้ามาช่วยวางระบบ และทำงานร่วมกับทางกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล เพื่อส่งเสริมการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง และจัดส่งบรรจุภัณฑ์ให้กับบริษัทผู้รับรีไซเคิลโดยตรง อันจะเป็นการส่งเสริมให้มีการนำวัสดุรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่และลดปริมาณขยะทั้งหมดในภาพรวมตามโครงการ Journey to Zero ของทางกลุ่มบริษัทเซ็นทรัลอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาขยะ แต่โครงสร้างและระบบของไทยในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวย ซึ่ง GEPP จะเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ โดยได้เริ่มจัดการฝึกอบรมให้พนักงานของเซ็นทรัล พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกโดยการช่วยออกแบบพื้นที่ในการแยกขยะในร้านอาหาร การจัดตารางเวลาเพื่อเข้าไปทำการรับซื้อวัสดุรีไซเคิลถึงที่ นอกจากนี้ ยังรวบรวมข้อมูลการจัดเก็บและซื้อขายทั้งหมดภายใต้โครงการ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ ประเมินผล ตลอดจนวางแผนในการพัฒนาและขยายโครงการอย่างเป็นระบบร่วมกับโคคา-โคล่าและเซ็นทรัลอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากโครงการนำร่องดำเนินไปได้ด้วยดี ก็มีเป้าหมายที่จะร่วมกับโคคา-โคล่าที่ในการขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมทั้งกรุงเทพและปริมณฑล ตลอดจนหัวเมืองใหญ่ ๆ ที่มีศูนย์การค้ากลุ่มเซ็นทรัลตั้งอยู่ทั้งหมด
เมื่อเกิดรายได้จากการจำหน่ายวัสดุรีไซเคิล กลุ่มเซ็นทรัลก็มีแผนในการวางแนวทางที่จะมอบกลับคืนให้กับทุกภาคส่วน ที่มีส่วนช่วยในการจัดเก็บและคัดแยกขยะด้วย
2.บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
เพราะ โคคา-โคล่า เชื่อว่า ปัญหาขยะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ปัญหาการไม่แยกขยะเป็นปัญหาพฤติกรรมของคน หากสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้คนแยกขยะตั้งแต่ต้นทางได้ ปริมาณขยะในภาพรวมก็จะลดลง วัสดุที่รีไซเคิลได้ก็จะถูกนำกลับมาผ่านกระบวนการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ฉะนั้น จึงริเริ่มนำแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ที่กำลังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่า สามารถมีส่วนช่วยปรับพฤติกรรมของคน เพื่อแก้ปัญหาสังคมและส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม มาปรับใช้ในบริบทแบบไทย ๆ จึงเป็นการทำงานร่วมกับอีก 2 ภาคส่วน ทดลองเพื่อศึกษาและสร้างพฤติกรรมการแยกขยะในครัวเรือน โดยใช้เทคนิคการ “สะกิด” (Nudge) ซึ่งมีที่มาจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ในชื่อเดียวกัน ของ Richard H. Thaler และ Cass R. Sunstein
เทคนิคนี้ตั้งอยู่บนการทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ที่หลายครั้งก็เป็นเรื่องของนิสัยและความเคยชินมากกว่าความคิดเชิงเหตุผล และนำความเข้าใจนั้นมา สร้างมาตรการจูงใจแบบง่าย ๆ แต่มีประสิทธิผลในการสร้างพฤติกรรมพึงประสงค์ ซึ่งในกรณีนี้คือการสร้างพฤติกรรมการแยกขยะที่ต้นทาง
การทดลองทฤษฎีการสะกิดครั้งนี้ ดำเนินการครอบคลุม แสนสิริ คอนโดมิเนียม 3 โครงการที่ T77 Community ได้แก่ THE BASE Park West, hasu HAUS และ mori HAUS รวม 246 ห้องชุด เป็นระยะเวลา 4 เดือน (พฤษภาคม-สิงหาคม 2562) พบว่า ปัจจัยที่ทำให้การรณรงค์เพื่อการแยกขยะที่ต้นทางไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรนั้น มีสาเหตุหลัก 2 ประการคือ ความ “ยุ่ง” คือคนไม่ต้องการทำอะไรที่สร้างความลำบากให้ตัวเอง และความ “ยาก” จากความซับซ้อนและเข้าใจยากของถังขยะที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จึงส่งผลให้คนไม่แยกขยะ
การแก้ปัญหา ‘ยุ่ง’ หรือความขี้เกียจในการแยกขยะนั้นสำคัญกว่าการแก้ปัญหา ‘ยาก’ หรือความไม่เข้าใจ เราจึงควรกระตุ้นให้คนเห็นความสำคัญของการแยกขยะมากขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนความขี้เกียจให้มาเป็นนิสัย โดยอาศัยกลไกทางสังคม ทำให้เห็นว่าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันแยกขยะโดยเฉพาะคนในชุมชนเดียวกัน อันจะเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยสร้างพฤติกรรมการแยกขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
สำหรับข้อเสนอแนะต่อการแยกขยะที่ได้จากผลการทดลองเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมนี้ ประกอบไปด้วย การจัดหาถังขยะให้สอดคล้องกับประเภทขยะ การออกแบบถังขยะให้สอดคล้องกับระบบความคิดของคน รวมถึงการสื่อสารโดยใช้รูปภาพอธิบายที่ไม่ซับซ้อน และมีข้อความสั้น ๆ กำกับ ร่วมกับการแจกโบรชัวร์ให้ความรู้ในการแยกขยะด้วยการสอดไว้ตามห้อง หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “ขยะ” โดยอาจใช้คำว่า เศษอาหาร หรือ รีไซเคิลแทน เป็นต้น
การสร้าง Impact ของโคคา-โคล่า (ประเทศไทย) นี้ เกิดจากวิสัยทัศน์ World Without Waste ของโคคา-โคล่า ที่มีเป้าหมายในการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์เพื่อนำกลับมารีไซเคิลในปริมาณเทียบเท่ากับปริมาณบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายออกสู่ตลาดให้ได้ 100 % ก่อน พ.ศ.2573
ดังนั้น ความสำคัญของการแก้ไขปัญหาขยะอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมการแยกขยะที่ต้นทาง เนื่องด้วยการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการจัดการบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคในประเทศไทย* พบว่า บรรจุภัณฑ์ประเภทขวดพลาสติกใส (PET) และกระป๋องอลูมิเนียมมีเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เพราะไม่มีการแยกขยะอย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นทาง
ความสำเร็จในเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ จำเป็นจะต้องขยายเครือข่ายพันธมิตรต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อสร้างผลการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในวงกว้าง เพราะไม่มีองค์กรใดองค์กรหนึ่งสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน
*รายงานเกี่ยวกับห่วงโซ่คุณค่า หรือแวลูเชนของขวดพลาสติก PET และกระป๋องอะลูมิเนียม ในประเทศไทย โดย GA Circular (A report on Material Flow and Value Chain Analysis for PET Bottles and Aluminium Cans in Thailand by GA Circular