18 กุมภาพันธ์ 2563…บมจ. ราช กรุ๊ป ปักหมุด SDGs เป้าหมาย 15 ข้อ 15.2 มานานถึง 12 ปีในการส่งเสริมการบริหารจัดการป่าไม้ทุกประเภทอย่างยั่งยืน หยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า ฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรม และเพิ่มการปลูกป่าและฟื้นฟูป่า
บุญทิวา ด่านศมสถิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารองค์กร บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ที่บริษัทริเริ่มและดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 เพราะบริษัท เชื่อว่า ป่าชุมชนเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนการอนุรักษ์ป่าจนสามารถเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศได้
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินงานโครงการ “คนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ตั้งแต่ปี 2551 ระยะที่ 1 (ปี พ.ศ. 2551-2555) และขยายความร่วมมือมาสู่ระยะที่ 2 (ปี พ.ศ. 2556-2560) จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ระยะที่ 3 (ปี พ.ศ. 2561-2565) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ตลอดจนรักษาพื้นที่ป่าให้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน บรรเทาภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์ การพัฒนาทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามาบริหารจัดการป่าชุมชนของตน เกิดความรักความหวงแหน ดูแลรักษาป่าดั่งเป็นสมบัติของชุมชนเอง เกิดเป็นเครือข่ายสร้างความมั่นคงให้กับทรัพยากรของประเทศ
ทั้งนี้ รางวัลป่าชุมชนชนะเลิศดีเด่นด้าน “ป่าชุมชน : สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา” โครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน ประจำปี 2562 คือ ป่าชุมชนบ้านแม่ขมิง หมู่ที่ 2 ต.สรอย อ.วังชิ้น จ.แพร่ ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นคือ “ความเชื่อ” เดียวกันของคนในชุมชนว่า เมื่อป่าดี ระบบน้ำ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมถึงการทำมาหากินของชุมชนในพื้นที่ ก็จะดีตามมา
อัจฉริยะพงษ์ ปันฟอง ประธานป่าชุมชนบ้านแม่ขมิง ได้เชื่อมโยงการบริการจัดการดิน-น้ำ-ป่า อย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การจัดการดูแลป่าซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ อาทิ การปลูกป่าเสริม, การทำแนวกันไฟ, การทำธนาคารใบไม้, การสร้างฝาย และกักเก็บน้ำด้วยหลักการอ่างเล็กเติมอ่างใหญ่ เพื่อรักษาน้ำทุกหยดอย่างคุ้มค่าที่สุด การบริหารจัดการป่าและน้ำสัมฤทธิผลจนเป็นต้นแบบการเรียนรู้ให้กับชุมชนหรือองค์กรต่างๆ จากความเข้มแข็งและร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย
“เราน้อมนำแนวพระราชดำริมาฟื้นฟูป่า สร้างฝายชะลอน้ำ โดยการร่วมมือกันเป็นกฎกติกาหมู่บ้านกำหนดเป็นแผนปฎิทินประจำปี เพราะฉะนั้น คนทุกครัวเรือนที่นี่ตระหนักเสมอว่า เมื่อป่าดี เราจะมีน้ำ เมื่อมีน้ำเราจะมีอาชีพ มีอากาศ มีพลังงาน และความสุขตามมา ปัจจุบันเราดึงเยาวชนและหมู่บ้านข้างเคียงมาร่วมกันฟื้นฟูป่า เพื่อจะให้น้ำที่เราฟื้นฟูป่าโปรยลงมา เติมอ่างใหญ่ แล้วส่งไปตามครัวเรือน พื้นที่การเกษตร และสัตว์เลี้ยง ทำให้ปีนี้เราไม่แล้งแน่นอน”
ชุมชนมีคณะกรรมการป่าชุมชน และจัดทำแผนการฟื้นฟูป่าประจำปี พยามยามดึงคนทุกกลุ่ม ทุกวัยเข้ามาร่วมในทุกกิจกรรม เพื่อดับไฟในใจคนไม่ให้แผดเผาป่าจากความโลภหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยิ่งในช่วงอากาศแห้งเช่นนี้ ชุมชนมีการเตรียมพร้อมรับมือกับไฟป่าที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการดึงคนในชุมชนร่วมกันทำแนวกันไฟความกว้างประมาณ 1-2 เมตรตามแนวสันเขาครอบคลุมพื้นที่ป่าชุมชนระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร อีกทั้งยังจัดทำธนาคารใบไม้ เพื่อลดการเผาในชุมชนและลดจำนวนเชื้อเพลิงที่ติดไฟง่าย เช่น ใบไม้, กิ่งไม้ และนำมาสร้างประโยชน์ด้วยการหมักกับมูลวัวที่หาได้ทั่วไปในท้องถิ่นผสมกับเชื้อจุลินทรีย์ พด.1 ให้เป็นปุ๋ยชีวภาพใช้ในการเกษตรของคนในชุมชน โดยกระจายกันทำในพื้นที่รวม 6 จุด ได้แก่ วัดแม่ขมิง, ป่าช้า, บริเวณในหมู่บ้าน 3 จุด และในป่าชุมชน เราหวังที่จะเป็นต้นแบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจรในอนาคต ทั้งเรื่องการจัดการป่า ปศุสัตว์ พลังงานทดแทน การบริหารจัดการน้ำ และการเกษตร
“ในมุมมองของ ราช กรุ๊ป เห็นว่าป่าชุมชนที่นี่เด่นเรื่องการบริหารจัดการ ที่สำคัญคือการจัดโครงการสร้างองค์กร คล้ายกับการบริหารบริษัทหนึ่งก็ว่าได้ นำโดยซีอีโอ คือผู้ใหญ่บ้าน ถัดลงมาเป็นบอร์ดบริหาร มาจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย ผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ จากเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ บริหารจัดการ ลงมาก็แบ่งเป็นหน่วยงานใน 200 กว่าครัวเรือน หมวดหนึ่งจะมี 12 ครัวเรือน ซึ่งเหมือนกับเป็นฝ่ายเป็นแผนกในองค์กร มีหน้าที่เชื่อมร้อยนำแผนกลยุทธ์ต่างๆ มาปฏิบัติ และฟีดแบคข้อมูลไปข้างบน มีการแก้ไข วางแผนร่วมกัน ดำเนินงานร่วมกัน ติดตามปัญหาอุปสรรคร่วมกัน ถือเป็นองค์กรระดับชั้นนำทีเดียว”
นอกจากนี้ ชุมชนมีคณะกรรมการป่าชุมชนมีกุศโลบายในการสร้างป่า ด้วยการสร้างเครือข่ายขยายแนวร่วมในชุมชนใกล้เคียง โดยส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนที่เห็นผลเชิงประจักษ์ คือ การปลูกกาแฟ จนเกิดการก่อตั้ง เดอะ ปางงุ้น วัลเล่ย์ เป็นวิสาหกิจชุมชนใกล้เคียงที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับป่าชุมชนบ้านแม่ขมิง ที่ทั้งปลูกกาแฟ รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรจังหวัดแพร่ และยังเป็นศูนย์ถ่ายทอดองค์ความรู้การปลูกกาแฟด้วย ในที่สุดไร่เลื่อนลอยได้พลิกฟื้นมาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มชื้นและให้ร่มเงาฟูมฟักต้นกาแฟ
อัจฉริยะพงษ์ ยอมรับว่า “เพราะเรามีหัวใจเดียวกัน เพราะเรามีผืนป่าเดียวกัน ไม่มีป่าเราก็อยู่ไม่ได้”
นั่นหมายถึงไฟในใจของคนบ้านแม่ขมิงได้มอดสนิทแล้ว แต่ไฟและใจในการปกป้องรักษายังคงมีอย่างเต็มเปี่ยม