10-11 มิถุนายน 2565…นับเป็นงาน CSR ตามแนวทาง ESG 4 Plus ของเอสซีจี ที่เชื่อมั่นในพลังคนรุ่นใหม่สายกรีนที่เป็นกำลังสำคัญในการกู้วิกฤตโลกร้อนภายใต้โครงการ “ปลูก ลด ร้อน” เพื่อร่วมเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการแก้วิกฤตโลกร้อน ลงพื้นที่ปลูกหญ้าทะเล ฮีโร่ของการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวช่วยกู้วิกฤตโลกร้อนได้มากกว่าการปลูกต้นไม้บนบกสูงสุดถึง 35 เท่า ณ ชุมชนมดตะนอย อ.กันตัง จ.ตรัง แหล่งหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุดในไทย
วิกฤตโลกร้อนเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไขและหันมาใส่ใจการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เอสซีจี ก็เป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มุ่งดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี (ESG) ตามแนวทาง ESG 4 Plus ของเอสซีจี (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเป็นธรรม โปร่งใส) โดยมีหนึ่งในเป้าหมาย คือ มุ่ง Net Zero ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน ร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน
ในด้านธุรกิจของเอสซีจี มีแนวทางการทำงานด้วย ESG 4 Plus ซึ่งได้ถูก Roll Out ไปทั้งองค์กรรวมถึงบริษัทที่เอสซีจีถือหุ้น 100% ทุกนวัตกรรม ทุกผลิตภัณฑ์ ที่จะออกมาในตลาดสำหรับลูกค้า จะต้องมี ESG 4 Plus อยู่ตั้งแต่เริ่มเป็นแนวคิดจนกระทั่งเมื่อสินค้าหมดสภาพตามอายุการใช้งานจะเข้าสู่กระบวนการแนวคิด Circular Economy ได้อย่างไร เพื่อลดขยะที่จะเกิดขึ้น
การดำเนินงานไปสู่เป้าหมาย 2050 ต้องอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน ร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ซึ่งภาคส่วนคนรุ่นใหม่ เยาวชน Gen Z จะเป็นกลุ่มหลักในการสานต่องานเหล่านี้ในหลายภาคส่วน “เอสซีจี” ชวนคนรุ่นใหม่หัวใจรักษ์โลกร่วมทริป “ใคร Make Change – ปลูกหญ้าทะเล @ ตรัง” เป็นการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลงมือปลูกกับผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนชุมชนที่เป็นตัวจริงด้านการปลูกหญ้าทะเล พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจชวนคนรอบข้างแก้วิกฤตโลกร้อนร่วมกันอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ หญ้าทะเลสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าเขตร้อนถึง 35 เท่า จนได้ฉายาว่าเป็นคาร์บอนสีน้ำเงิน หรือ Blue Carbon อีกทั้งยังช่วยปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ อย่างที่ทราบกันดีว่าหญ้าทะเล คือบ้านของพะยูน สัตว์ทะเลหายาก ตรังถือเป็นเมืองหลวงของพะยูน ที่นี่เป็นแหล่งหญ้าทะเลที่ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟูอย่างถูกวิธี
วีนัส อัศวสิทธิถาวร ผู้อำนวยการ Enterprise Brand Management Office เอสซีจี กล่าวว่าทริป ‘ใคร Make Change – ปลูกหญ้าทะเล @ ตรัง’มีการเรียนรู้ที่เสริมประสบการณ์ด้วยคือ
-กิจกรรม Learn From The Real เรียนรู้ความสำคัญและความเชื่อมโยงของระบบนิเวศหญ้าทะเล/ป่าโกงกาง และสิ่งมีชีวิตในพื้นที่ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงปราชญ์ชาวบ้าน และเยาวชนชุมชนมดตะนอยที่มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์
-กิจกรรม Grow Your Plant ลงพื้นที่ปลูกหญ้าทะเลและป่าโกงกางอย่างถูกวิธีเพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืน
-กิจกรรม Nature Reconnect สัมผัสวิถีชุมชนชาวเลที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ตลอดจนรับความรู้ในการสื่อสารที่ช่วยส่งต่อพลังให้คนรอบข้างร่วมเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นไปด้วยกัน
รสิตา พระคง หรือ น้องซันมา แกนนำกลุ่มเยาวชนมดตะนอย อายุ 16 ปี เล่าถึงการร่วมมือกันดูแลธรรมชาติของคนในชุมชนว่า
“หนูเกิดและโตในชุมชนชาวประมงริมทะเล เริ่มปลูกหญ้าทะเลตั้งแต่ 6 ขวบ เพราะแม่ปลูกฝังว่าป่าชายเลน และหญ้าทะเลมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และส่งผลต่อการทำประมงของพวกเรามาก พอโตขึ้นมา หนูกับเพื่อนๆ ได้รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเยาวชนบ้านมดตะนอย 30-40 คน มาช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในชุมชน ปลูกหญ้าทะเล ป่าชายเลน และคอยเก็บขยะตามชายหาดเพื่อให้ชุมชนมีความอุดสมบูรณ์ จะได้มีสัตว์น้ำเยอะๆ พวกหนูภูมิใจมากที่ทำให้ชุมชนอุดมสมบูรณ์ พี่ ป้า น้า อามีความสุข คนในหมู่บ้านได้ทำอาชีพประมงกันต่อไปค่ะ”
สุภาพิชญ์ ไชยดิษฐ์ โยธิน ทองพะวา และภานุวัฒน์ เดชานุภานนท์ สามสมาชิกจากทีม Grow up together เล่าถึงความประทับใจ และสิ่งที่ได้รับจากการร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
“เรา 3 คนมีบทบาทอยู่ในสภาเด็ก และเยาวชนแห่งประเทศไทย เรื่องสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญแต่ส่วนมากเน้นการให้ความรู้ น้อยครั้งที่จะได้ลงมือปฎิบัติจริง และไม่เคยรู้เลยว่า หญ้าทะเล มีความสำคัญอย่างไร เลยตัดสินใจสมัครมาร่วมทริป ซึ่งพวกเราได้เรียนรู้ถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การปลูกและความสำคัญของหญ้าทะเลที่เป็นเหมือน Blue Carbon นอกจากนี้ เราได้เรียนรู้วิถีชุมชนที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลโดยมีการปลูกฝังตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่น การแยกขยะ”
สมาชิกทั้งสามในทีมกล่าวต่อเนื่องถึงความตั้งใจที่จะไปทำนโยบายต่อในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะต้องเป็นการปรับเปลี่ยนในเชิงพฤติกรรมให้เยาวชนได้เข้าใจมองเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น โดยมองว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือ การปลูกต้นไม้ในใจคน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือการดูแลโลกไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเองแต่เป็นการทำเพื่ออนาคต
“การสื่อสารให้เขาเห็นถึงผลกระทบ รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งใกล้ตัวเพื่อให้ได้รู้ว่าปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมันส่งผลถึงภาพรวมทั้งหมดในระยะสั้นและระยะยาว การได้เรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริงก็จะมีส่วนช่วยให้ทุกคนได้เห็นความสำคัญถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุด เหมือนกับพวกเราที่ได้มาร่วมกิจกรรมในทริปนี้”
วีนัสกล่าวในท้ายที่สุดว่า กิจกรรม CSR ตามแนวทางเอสซีจีที่ขับเคลื่อน ESG 4 Plus เป็นการมุ่งเน้นสร้าง Mindset คน และสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีพลังและมีจิตใจอนุรักษ์ในโลกที่พวกเขาต้องอยู่ต่อไปอยู่แล้ว ร่วมสานต่อความมุ่งมั่นกับเอสซีจีให้ขยายไปในวงกว้าง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจชวนผู้คนให้หันมาร่วมดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดโลกร้อนด้วยการปลูกหญ้งทะเล คืนความอุดมสมบูรณ์แก่ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนให้โลก ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมสร้าง Green Economy เพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก ตามแนวทาง BCG และการเป็นเจ้าภาพ APEC 2022 ของไทยด้วย