SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY Sustainability 2024-03-18T14:06:23Z https://www.sdperspectives.com/feed/atom/ WordPress jirapan Unyapo <![CDATA[แบรนด์ต้องสร้างสมดุลที่ดี เมื่อสื่อสารเกี่ยวกับ “ความยั่งยืน”]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23714 2024-03-18T14:06:23Z 2024-03-18T14:06:23Z 19 มีนาคม 2567...ดัชนีการรับรู้ความยั่งยืนฉบับล่าสุด ว่าแบรนด์ใหญ่ที่สุดในโลกกําลังสูญเสียมูลค่าเพิ่มที่ควรจะเป็นหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากล้มเหลวในการสื่อสารความสําเร็จและความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนอย่างเหมาะสม

The post แบรนด์ต้องสร้างสมดุลที่ดี เมื่อสื่อสารเกี่ยวกับ “ความยั่งยืน” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

19 มีนาคม 2567…ดัชนีการรับรู้ความยั่งยืนฉบับล่าสุด ซึ่งจัดทําโดย Brand Finance ที่ปรึกษาด้านการประเมินมูลค่าแบรนด์ในลอนดอน ร่วมกับ CSRHub และ International Advertising Association (IAA) บ่งชี้ว่าแบรนด์ใหญ่ที่สุดในโลกกําลังสูญเสียมูลค่าเพิ่มที่ควรจะเป็นหลายพันล้านดอลลาร์ เนื่องจากล้มเหลวในการสื่อสารความสําเร็จและความก้าวหน้าด้านความยั่งยืนอย่างเหมาะสม

การเรียกหาความโปร่งใสเรื่องความยั่งยืนถูกตรวจสอบกว้างขวางมากขึ้นโดยทั้งสาธารณชนและหน่วยงานกํากับดูแล บริษัท ต่างๆอาจถูกล่อลวงให้หยุดพูดถึงความพยายามของพวกเขาโดยสิ้นเชิง เพราะกลัวข้อกล่าวหาการฟอกเขียว แต่ความเสี่ยงของแบรนด์ที่หลีกเลี่ยงหัวข้อเพื่อปกป้องชื่อเสียงมีผลกระทบในวงกว้างกว่าที่พวกเขาคิด

Dagmara Szulce กรรมการผู้จัดการของ IAA Global กล่าวถึงดัชนีการรับรู้ความยั่งยืนว่าเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพอย่างเหลือเชื่อในการจูงใจให้ดําเนินการที่สอดคล้องกับ SDGs ของสหประชาชาติ และเป้าหมายที่กว้างขึ้นของ UN Global Compact

“ด้วยการเน้นย้ำถึงมูลค่าทางการเงินที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้ด้านความยั่งยืน เราหวังว่าจะควบคุมแรงจูงใจในการทํากําไรของธุรกิจ โดยทําให้พวกเขาก้าวผ่านจุดที่มองว่าความยั่งยืนเป็น ปัจจัยด้านสุขอนามัย ไปสู่จุดที่ดําเนินการอย่างรวดเร็วร่วมกัน”

ฤดูร้อนที่แล้ว Brand Finance ได้เปิดตัวดัชนีช่องว่างด้านความยั่งยืน ซึ่งเปิดเผยว่าการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของแบรนด์สอดคล้องกับประสิทธิภาพที่แท้จริงหรือไม่ และความเสี่ยงทางการเงินที่สําคัญที่เกี่ยวข้องกับช่วงห่างใดๆ ตอนนี้ ดัชนีการรับรู้ความยั่งยืนล่าสุด จากการศึกษาผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 150,000 คนใน 40 ประเทศ เจาะลึกลงไปในความเสี่ยงเหล่านี้ การค้นพบที่สําคัญ ได้แก่

-บทบาทของความยั่งยืนในการขับเคลื่อนทางเลือกในแต่ละอุตสาหกรรม
-แบรนด์ที่ผู้บริโภคทั่วโลกเชื่อว่ามีความมุ่งมั่นมากที่สุดต่อความยั่งยืน
-มูลค่าทางการเงินของชื่อเสียงด้านความยั่งยืน
-มูลค่าที่มีความเสี่ยงหรือมูลค่าที่จะได้รับซึ่งเกิดจากช่องว่างระหว่างการรับรู้ความยั่งยืนและประสิทธิภาพ

แบรนด์ที่โดดเด่น

ภาพสร้างโดย AI

 

ตามรายงาน Apple มีมูลค่าการรับรู้ความยั่งยืนสูงสุดในบรรดาแบรนด์ใดๆ ที่ 33,300 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินจํานวนมหาศาลนี้ได้รับแรงหนุนจากการผสมผสานระหว่างขนาดทางการเงินของ Apple และการรับรู้ของผู้บริโภคที่สนับสนุน นอกเหนือจากประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนที่แท้จริงแล้วการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมั่นใจอย่างชัดเจนว่า Apple มุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบด้านลบให้เหลือน้อยที่สุด แก่พวกเขาที่ซื้อและจ่ายเบี้ยประกันภัยสําหรับผลิตภัณฑ์ของตนต่อไป

Microsoft มีมูลค่ารวมสูงสุดเป็นอันดับสอง (22,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) พร้อมกับ “มูลค่าช่วงห่าง (gap value)” สูงสุดของแบรนด์ใด ๆ ในดัชนีที่ 3,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มด้านความยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการมุ่งมั่นที่จะเป็นกลางทางคาร์บอน การใช้น้ำสุทธิเป็นบวก (water positive) และ zero waste ภายในปี 2030 และลบมูลค่าการปล่อยคาร์บอนช่วง 45 ปีให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ทว่าการสื่อสารถึงความมุ่งมั่นและความก้าวหน้านั้นค่อนข้างเงียบ

จากการคํานวณของ Brand Finance ด้วยความพยายามร่วมกันในการสื่อสารความสําเร็จด้านความยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น Microsoft สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

Microsoft ไม่ได้เป็นแบรนด์เดียวในการทิ้งมูลค่าด้วยวิธีนี้ ตามดัชนี 85 แบรนด์มี gap value เป็นบวกมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมเป็นมูลค่า 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

อีกด้านหนึ่งของสเปกตรัมคือ Tesla ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ช่วยในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ภาพนี้ได้นําไปสู่การรับรู้ด้านความยั่งยืนของผู้บริโภคทั่วโลก ในหลายประเทศ รวมถึงเม็กซิโกและสหราชอาณาจักร

Tesla ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบรนด์ที่มีความมุ่งมั่นสูงสุดต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของการรับรู้นี้สร้างความเสี่ยงในตัวเอง แม้ว่าเทสลาจะทํางานได้ดีพอสมควรในด้านการรับรู้ความยั่งยืน แต่ก็ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนอย่างมาก ส่งผลให้เทสลามีมูลค่าที่มีความเสี่ยง 1,540 ล้านเหรียญสหรัฐ

“แบรนด์ต้องสร้างสมดุลที่ดีเมื่อสื่อสารเกี่ยวกับความยั่งยืน” Robert Haigh ผู้อํานวยการฝ่ายกลยุทธ์และความยั่งยืนของ Brand Finance อธิบาย “ขณะนี้ผู้บริโภคปรับตัวเข้ากับการฟอกเขียวที่อาจเกิดอย่างถูกต้อง ในการตอบสนอง แบรนด์ต่างๆ เริ่มระมัดระวังและเข้มงวดเกินไปในแนวทางการสื่อสารเพื่อความยั่งยืน Greenhushing อาจลดแรงจูงใจให้คู่แข่งปรับปรุงประสิทธิภาพ และความก้าวหน้าทั่วทั้งอุตสาหกรรมช้าลง สรุปก็คือ แบรนด์เหล่านี้กําลังปล่อยให้เงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า”

ที่มา

 

The post แบรนด์ต้องสร้างสมดุลที่ดี เมื่อสื่อสารเกี่ยวกับ “ความยั่งยืน” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากระบบนิเวศอาจลดลง 10% ภายในปี 2100]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23708 2024-03-17T14:51:16Z 2024-03-17T14:50:07Z 18 มีนาคม 2567...เนื่องจากระบบนิเวศยังคงเสื่อมโทรมทั่วโลกอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบุกรุกของมนุษย์และมลพิษในรูปแบบต่างๆ ทุนทางธรรมชาติของโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง

The post ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากระบบนิเวศอาจลดลง 10% ภายในปี 2100 appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

18 มีนาคม 2567…เนื่องจากระบบนิเวศยังคงเสื่อมโทรมทั่วโลกอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบุกรุกของมนุษย์และมลพิษในรูปแบบต่างๆ ทุนทางธรรมชาติของโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง

ความเป็นจริงภายในปี 2100 ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากบริการระบบนิเวศจะลดลงมากถึง 9% ในขณะที่ความไม่เท่าเทียมกันทั่วโลกแย่ลง

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเดวิส และสถาบันสมุทรศาสตร์สคริปส์ที่ UC San Diego ซึ่งใช้แบบจําลองพืชพรรณและภูมิอากาศทั่วโลก รวมถึงการประเมินมูลค่าทุนธรรมชาติของธนาคารโลกเพื่อประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อบริการระบบนิเวศ การผลิตทางเศรษฐกิจ และหุ้นทุนธรรมชาติในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในศตวรรษนี้อย่างไร

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ประมาณการของพวกเขาอาจเป็นแบบอนุรักษ์นิยม เนื่องจากการวิเคราะห์ของพวกเขาพิจารณาเฉพาะระบบบนบก เช่น ป่าไม้และทุ่งหญ้า ขณะที่ละเลยระบบนิเวศทางทะเลในขณะนี้

“คําถามใหญ่คือเราจะสูญเสียอะไรเมื่อสูญเสียระบบนิเวศ” Bernardo Bastien-Olvera นักศึกษาปริญญาเอกที่ UC Davis กล่าว “หรือเปลี่ยนคําถามเป็นอีกด้าน เราจะได้อะไรหากสามารถจํากัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหลีกเลี่ยงผลกระทบบางอย่างต่อระบบธรรมชาติได้”

การศึกษาพยายามตอบคําถามนั้น โดยพิจารณาความเสียหายจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศที่มักถูกมองข้าม รวมถึงการสูญเสียอากาศบริสุทธิ์และน้ําสะอาด ป่าไม้ที่สมบูรณ์ และความหลากหลายทางชีวภาพที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู ทั้งหมดนี้มีส่วนทําให้ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนโดย “ทุนธรรมชาติ” ซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติของโลกต่อผู้คนและเศรษฐกิจของพวกเขา การหาปริมาณผลประโยชน์เหล่านี้อาจเป็นงานที่ท้าทายด้วยตัวแปรมากมาย แต่สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยก็คือเมื่อประเทศสูญเสียทุนธรรมชาติบางส่วน เศรษฐกิจของพวกเขาก็ประสบปัญหาด้วย

ตามการศึกษาใหม่ภายในสิ้นศตวรรษ “การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อพืชพรรณ ปริมาณน้ําฝน และ CO2 ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศลดลงโดยเฉลี่ย 1.3% ในทุกประเทศที่วิเคราะห์” นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสังเกต

ขณะเดียวกันความสูญเสียเหล่านี้จะทําให้ความเหลื่อมล้ำแย่ลง เนื่องจากการกระจายผลกระทบที่ไม่สม่ำเสมอ

“การวิจัยของเราพบว่า 50% ของประเทศและภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในโลกคาดว่าจะได้รับความเสียหายมากถึง 90% ของ GDPตรงกันข้าม กลุ่มร่ำรวยที่สุด 10% การสูญเสียอาจถูกจํากัดไว้เพียง 2%” Bastien-Olvera กล่าว

เหตุผลของความเหลื่อมล้ำนี้คือ ประเทศที่พัฒนาน้อยกว่ามักจะพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตทางเศรษฐกิจมากขึ้นโดยมีส่วนแบ่งความมั่งคั่งมากขึ้น เป็นผลมาจากทุนธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าการปกป้องทุนทางธรรมชาติในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้าผ่านการบรรเทาสภาพภูมิอากาศและมาตรการอื่น ๆ จะพิสูจน์ได้ชัด

“เศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของเราขึ้นอยู่กับระบบเหล่านี้ เราควรตระหนักและคํานึงถึงความเสียหายที่ถูกมองข้ามเมื่อพิจารณาจากต้นทุนสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง” Frances C. Moore รองศาสตราจารย์จากภาควิชาวิทยาศาสตร์และนโยบายสิ่งแวดล้อมของ UC Davis ย้ำ

“ความเสียหายต่อระบบนิเวศส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ในรูปแบบที่ทั้งวัดได้ และไม่สมส่วนอย่างมาก” Jeffrey Mantz ผู้เชี่ยวชาญอีกคนที่อยู่เบื้องหลังการศึกษาเสริม

ท้ายที่สุด ผลลัพธ์จะสําคัญต่อการลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า

ที่มา

 

The post ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากระบบนิเวศอาจลดลง 10% ภายในปี 2100 appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[KBank Private Banking  X Lombard Odier เผยแนวคิด RETHINK SUSTAINABILITYผลักดันและเร่งให้เกิดการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23675 2024-03-16T16:04:23Z 2024-03-16T14:20:20Z 16-17 มีนาคม 2567...มีการระบุว่ามีจะเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลถึง 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) กระจายลงทุน ภายในปีพ.ศ. 2573 ประเทศไทยจะคว้าโอกาสนี้อย่างไร?

The post KBank Private Banking  X Lombard Odier เผยแนวคิด RETHINK SUSTAINABILITYผลักดันและเร่งให้เกิดการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

16-17 มีนาคม 2567…มีการระบุว่ามีจะเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลถึง 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 1.2 พันล้านล้านบาท) กระจายลงทุน ภายในปีพ.ศ. 2573 ประเทศไทยจะคว้าโอกาสนี้อย่างไร? ธนาคารกสิกรไทย โดย เคแบงก์ ไพรเวทแบงก์กิ้ง และลอมบาร์ด โอเดียร์ ร่วมกันจัดงานเสวนาด้านความยั่งยืน ‘RETHINK SUSTAINABILITY: A CALL TO ACTION FOR THAILAND’ เพื่อผลักดันและเร่งให้เกิดการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน และจากการเล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนร่วมกัน ทั้งจากภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการลงทุน ที่จะช่วยสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มการลงทุนในธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนแห่งอนาคต ครอบคลุม 4 อุตสาหกรรมหลักของไทย ได้แก่ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อาหารและการเกษตร เคมีภัณฑ์ และพลังงานหมุนเวียน พร้อมตอกย้ำบทบาทสำคัญของนักลงทุนในการสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ขัตติยากล่าวถึง 4 แรงขับเคลื่อนสำคัญ

ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้กล่าวเปิดงานว่า “วันนี้ไม่ได้มาเล่าแล้วว่า Sustainability คืออะไร สําคัญ อย่างไร วันนี้ขอ to Action เพื่อผลักดันให้เกิดการลงมือทำ  โดยมี 4 แรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน ได้แก่ การกำหนดนโยบายและกฎเกณฑ์จากภาครัฐ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการเลือกลงทุนของนักลงทุน  ซึ่งถ้าไม่ปรับตัว จะเกิดความสูญเสียอย่างแน่นอน และก็จะหมดโอกาสในการหาตลาดใหม่ ๆ รวมไปถึงโอกาสที่เคยมีอยู่อาจจะหายไปก็ได้ เราจะสูญเสียความสามารถในการทํากําไรเพราะเราแข่งขันไม่ได้ ซึ่งถ้าทุกคนปรับตัวได้ ก็จะเป็นโอกาสทั้งในแง่ของการสร้างแบรนด์ของบริษัท มีโอกาสในการหาตลาดใหม่ ๆ สร้างผลกําไรเพิ่มเติมและมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาวด้วย และในมุมของนักลงทุนอํานาจอยู่ในมือของท่านแล้วที่จะตัดสินใจเลือกลงทุนด้วย”

ขัตติยากล่าวย้ำ ในฐานะสถาบันการเงิน ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ Net Zero อย่างจริงจัง ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการจัดงานเสวนาในครั้งนี้ ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง

การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศคือโจทย์ใหม่ของโลก ถือเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความพยายามในการทำให้อุณหภูมิโลกไม่เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส รวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจะต้องปรับตัวเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน

อูแบร์ , พิพิธ (ขวา) และ จิรวัฒน์

งานนี้ได้วิทยากรคนสำคัญหลายท่านมาร่วมแบ่งปังองค์ความรู้ระดับสากลรวมถึงในระดับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น อูแบร์ เคลเลอร์ (Mr. Hubert Keller) Senior Managing Partner, Lombard Odier  พิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย

พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานสำคัญทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมกันสร้างแรงขับเคลื่อนความยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ที่ส่งตัวแทนมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองที่เป็น Best Practice และ Action ที่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในประเทศไทย เริ่มจาก ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม  วิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  ยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)  กรกมล กอไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์ พัฒนาธุรกิจและพาณิชยกิจ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าเพิ่ม บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหานชชน) หรือ GC  สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)และรองประธานสภาอุตสหกรรมแห่งประเทศไทย

ดร. พิรุณ,วิวรรธน์ ,ยุทธศักดิ์,(บน)
วสิษฐ, กรกมล , สมโภชน์

RETHINK SUSTAINABILITY

“ตอนนี้เรากำลังมองไปที่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ครั้งใหม่ ที่วางให้ธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจ ลอมบาร์ด โอเดียร์ เชื่อว่าธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ที่ถูกมองว่ามีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้ง ๆ ที่ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินทรัพย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญต่อเศรษฐกิจในการสร้างผลผลิตรวมถึงโอกาสการลงทุนได้อย่างมหาศาล ดังนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญและหันมาสร้างคุณค่าจากธรรมชาติให้มากขึ้นและยังต้องสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืน”

อูแบร์ขยายความต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง  ต้องอาศัยเวลา ช่วงแรก ๆ จะค่อนข้างช้า เช่น ในเรื่องพลังงานทดแทนที่มาจากแสงอาทิตย์ หรือลม แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงจุด Tipping Point สิ่งที่ตามมาคือ Speed & Scale  ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะเกิดขึ้นทันที ซึ่งปัจจุบันพลังงานทางเลือกที่ใช้ผลิตไฟฟ้าไปเร็วไปไกลมาก  เพราะว่าต้นทุนถูก ทุกคนอยากจะเข้ามาลงทุน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนสูงถึง 24 ล้านล้านเหรียญ สิ่งเหล่านี้จะ Disrupt คนที่ทําแบบเดิมอยู่แล้วไม่เปลี่ยนแปลง  ก็จะได้รับผลกระทบทั้ง Value Chain

พิพิธ กล่าวว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนถือเป็นภารกิจระดับโลก ประเทศผู้นำที่มีความพร้อมสามารถกำหนดนโยบายด้านความยั่งยืนที่อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทุกประเทศ  และเป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างความท้าทายเป็นอย่างมากต่อประเทศไทย

“ความมุ่งมั่นของธนาคารกสิกรไทยคือการเป็นองค์กรที่เพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนผ่านบทบาทในการส่งเสริมเงินทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ยั่งยืน  วันนี้ธนาคารเองก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็น Green Business และร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น”

จิรวัฒน์ อธิบายในมุม เคแบงก์ ไพรเวท แบงก์กิ้ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและผู้ให้คำแนะนำการลงทุน เล็งเห็นว่านักลงทุนคือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่มีมูลค่ามหาศาลเท่านั้น แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจแห่งอนาคตไปสู่ความยั่งยืนได้ด้วย

A CALL TO ACTION FOR THAILAND

การปรับตัวให้ทันเศรษฐกิจโลก
เพื่อสร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไทย

ความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ตลอดจนความท้าทายและโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ในเรื่องนโยบายและกฎเกณฑ์จากทางภาครัฐ การสร้างระบบนิเวศและแพลตฟอร์มที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านเพื่อนำมาซึ่งประโยชน์กับทั้งสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม

“ไม่ใช่แค่เรื่องของการขับเคลื่อนนโยบาย ไปสู่การปฏิบัติจริง แต่ต้องขับเคลื่อนร่วมกันอย่างมีกลยุทธ์ และไปในมิติที่สามารถนำเครื่องมือที่เป็นรูปธรรมไปให้ประชาชนใช้ได้ วันนี้เราต้องสร้างการรับรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่แค่เรื่องของการกำหนดนโยบาย แต่คือการผลักดันและนำเครื่องมือให้ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ซึ่งภาครัฐจะทำงานอย่างเร่งด่วน จากวันนี้จนถึงปี 2030” ดร.พิรุณ กล่าว

การลงมือทำของภาครัฐ และภาคเอกชน

ด้าน วิวรรธน์ ตัวแทนจากสภาอุตฯ กล่าวว่า “เราต้องใช้ Circular Economy อย่างมียุทธศาสตร์ ในการขับเคลื่อนธุรกิจทำให้ครบ 4 R โดยจัดการตั้งแต่ขั้นตอนการ Redesign Reduce ไม่ใช่เน้นแค่ Recycle หรือ Reuse เท่านั้น นอกจากจะสามารถลด Carbon Footprint อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังส่งเสริมให้ GDP เติบโตเป็น 2 เท่า เพราะทุกอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม”

นอกจากนี้ ภายในงานเสวนา ยังได้นำเสนอแนวทางปฏิบัติของ 4 อุตสาหกรรมหลัก ที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน เพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้ในอนาคต ได้แก่ การท่องเที่ยวและบริการ อาหารและการเกษตร เคมีภัณฑ์ และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งตัวแทนจากแต่ละอุตสาหกรรมได้มาเล่าถึงการลงมือทำเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้จริงในประเทศไทย

สร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเป็นต้นตอของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 8% จากจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด   จึงเป็นเรื่องสำคัญในการระดมความคิด เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหา เปลี่ยนแปลงวิถีการท่องเที่ยวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  พร้อมคว้าโอกาสในการลงทุนจากอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้าง GDP รวมของโลกได้สูงถึง 10%

“แม้ภาคการท่องเที่ยวจะมีศักยภาพในการสร้างรายได้หลักให้กับประเทศ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวนั้น ส่งผลกระทบมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องของการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม บางครั้งการลงทุนเข้าไปทําลายวิถีชีวิตของสังคมพื้นบ้านหรือลงทุนโดยที่ไม่คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม หรือสภาพสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือการท่องเที่ยวภูเก็ตที่สร้างปัญหาการจราจร  รวมไปถึงการทําลายสิ่งแวดล้อมต่างๆ  ซึ่งประเทศไทย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ถึง 90% มาเที่ยวเพราะว่าสิ่งแวดล้อม หากสิ่งแวดล้อมถูกทำลายก็คงไม่มีนักท่องเที่ยวอยากมา”

ยุทธศักดิ์

ยุทธศักดิ์ ขยายความต่อเนื่องว่า นักท่องเที่ยวยุโรปต้องการดูเต่าวางไข่ตามชายหาดมาก การที่นักท่องเที่ยวได้ไปนับจำนวนฟองของไข่เต่า คือความสวยงาม แต่ความสวยงามนี้กำลังถูกทําลายเนื่องจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ได้คํานึงถึงเรื่อง Sustainability

“Sustainability  ไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทํา หากเข้าไปดูในบุ๊คกิ้งดอทคอมหรือในทราเวลโลก้า จะมีการพูดถึงเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น เริ่มมีการถามว่าธุรกิจท่องเที่ยวได้ทําอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืนหรือไม่  ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคําว่า Sustainability ไม่ใช่วิสัยทัศน์สวยหรูโดยที่ไม่ลงมือทําอะไร ถ้ามีการลงมือทำจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยว ธุรกิจก็ได้ผลประโยชน์”

“เชื่อหรือไม่ว่า นักท่องเที่ยวยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อเข้าพักที่โรงแรมที่มี STGs หรือ Sustainable. Tourism Goals ดังนั้นในอนาคต Sustainability จะต้องเป็น Soft Power จะต้องเป็น Key Driver สําหรับการเติบโตของภาคท่องเที่ยวในอนาคต  ถ้าเรายังนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ให้ความสําคัญการลงทุนที่มองในมิติเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในอนาคตจะแข่งขันลำบาก”

ระบบอาหารแห่งอนาคต
บริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อโลกที่ยั่งยืน

ปัจจุบันทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น คาดว่าภายในปี 2593 จะมีจำนวนประชากรเพิ่มราว  1 หมื่นล้านคน นำไปสู่ความต้องการด้านอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 60-100  การเสวนานี้เน้นเจาะลึกประเด็นด้านการเกษตร ห่วงโซ่อาหาร และแนวทางการผลิตรูปแบบใหม่ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่สร้างผลิตผลที่เพิ่มขึ้นด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีการผลิตใหม่ที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

“ปัจจุบันมีประชากรโลกเกือบ 8,000 ล้านคน  และอีกประมาณไม่เกิน 20 กว่าปี ทั่วโลกจะมีประชากร 1 หมื่นล้านคน เราจะดูแลอาหารให้คนเหล่านี้ได้อย่างไร ถือว่าเป็นคําถามที่ทุกคนต้องช่วยกันตอบ เราจะผลิตอาหารให้เพียงพอ พร้อมๆ กับที่เราต้องทําให้โลกใบนี้ยั่งยืนด้วย เป็นความท้าทายที่สําคัญมาก ๆ วันนี้เองในบริบทของอุตสาหกรรมที่เรายืนอยู่ เราได้มีบทบาทอย่างไรต่อโลกใบนี้  มีบทบาทอย่างไรต่อผู้บริโภค และมีบทบาทอย่างไรในการที่เราจะนําพาอุตสาหกรรมของเราไปอย่างยั่งยืนจริง ๆ”

วสิษฐ

“ เราอยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร เราโฟกัสเรื่องของ Food Quality เราต้องการที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าของชีวิตของมนุษย์ด้วยอาหารที่ดีกว่า เราจึงต้องให้ความสําคัญกับเรื่องการเก็บรักษาอาหาร การนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ อาหารที่ดีกว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของ Food Safety มีมาตรฐานที่สูงที่สุด ต้องมีคุณภาพที่เหนือกว่าและมีความอร่อย ที่สําคัญก็คือว่าเราต้องอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ”

ในฐานะที่เบทาโกรเป็นแบรนด์ Top Class ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร การดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืนถูกใช้ในการจัดการในหลายเรื่อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ขั้นตอนการผลิตที่มีความปลอดภัยสูง  การหันมาใช้พลังงานทางเลือก เช่น การติดตั้งแผง Solar ในโรงงานซึ่งสามารถ Generate พลังงานได้ถึง 10% ช่วยลดการใช้ไฟฟ้า  การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโปรตีนทางเลือก เช่น Plant-based Insect-based  เนื่องจากโปรตีนจากสัตว์อาจไม่เพียงพอ   สิ่งเหล่านี้เบทาโกรได้ลงมือทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลิตอาหารได้อย่างยั่งยืน

“ธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ต้องหาความสมดุลย์ที่เหมาะสมให้ได้  แล้วก็อยู่ภายใต้คําว่า Sustainability  เบทาโกรเองต้องการที่จะมีส่วนช่วยเพิ่มคุณค่าของชีวิตของมนุษย์ด้วยอาหารที่ดีกว่า  เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนได้” วสิษฐกล่าวทิ้งท้าย

พลาสติกหมุนเวียน
อุตสาหกรรมเคมีแห่งอนาคต

 

อุตสาหกรรมเคมีในการผลิตพลาสติกรูปแบบใหม่ ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน  ซึ่งเป็นแนวทางที่จะสร้างความยั่งยืนแก่สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าในอนาคต พลาสติกจะเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตโดยต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนด้านนี้ราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี พ.ศ.2583

GC ในฐานะ Global Company ดําเนินธุรกิจในต่างประเทศมากกว่า 30 ประเทศ มีพนักงานทั่วโลกมากกว่า 30,000 คน โดยที่พนักงานที่ต่างประเทศมากกว่าในประเทศมากกว่าครึ่ง ซึ่งGC ก็เหมือนกับบริษัทชั้นนําหลาย ๆ แห่งพบว่า การดําเนินธุรกิจในโลกปัจจุบันมีความท้าทายอย่างมากในเรื่องของความไม่แน่นอน

กรกมล

“ที่ผ่านมา GC ได้ลงมือทำงานด้านความยั่งยืนมาตั้งแต่ 13 ปีที่แล้ว ช่วงแรก จะเน้นในเรื่องของการเปิดเผยข้อมูลเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหุ้นของเราเข้าใจว่าเรามีกระบวนการทํางานเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนอย่างไร และเรากำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อก้าวเข้าสู่ความยั่งยืนอย่างไร เราขยายธุรกิจของเราด้วยการจับมือกับพันธมิตร และให้ความสำคัญในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม”

กรกมลอธิบายเพิ่มเติมบริษัทต้องแข่งขันกับตัวเอง  ขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เคมีใหม่ ๆ และใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ โซลูชั่นใหม่ ๆ เพื่อที่จะใช้พลังงานลดน้อยลง สามารถดักจับคาร์บอนที่อยู่ในอากาศลงใต้ดินและนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนในอากาศ นี่คือ Commitment  ในการก้าวสู่ Net Zero ในปี 2050

“ยกตัวอย่าง บริษัทในเครือ อย่าง Envicco ได้รับอย.รับรองในการนำเม็ดพลาสติกรีไซเคิล Food Grade มาผลิตเป็นขวดน้ำ rPET ซึ่งมีหลายแบรนด์ในประเทศไทยใช้บรรจุภัณฑ์นี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยโรงงานก็รับขวด PET ใช้แล้ว มาจากหลายโครงการ หนึ่งในนั้นเป็นโครงการของ GC คือ โครงการที่เราเรียกว่ายูเทิร์น เราจะไปทํางานร่วมกับสังคมและชุมชนในการตั้งจุดแยกขยะ จากนั้นขวด PET ที่ใช้แล้วจะถูกส่งกลับมาให้ Envicco เป็นวัตถุดิบ rPET ต่อไป เราคาดหวังว่าเราจะสามารถที่ผลิตขวด rPET ที่ใช้ตัวเม็ดพลาสติกที่ทำจากขวดพลาสติกใช้แล้วจากวัตถุดิบในประเทศร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราจะลดขยะพลาสติกได้มากถึง 60,000 ตันต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

กรกมลกล่าวตอนท้ายว่า การลงมือทำเพื่อสร้างความยั่งยืน สามารถเริ่มที่ตัวเราเอง เปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อเป็นคน Gen S หรือ Gen Sustainability โดย GC ได้ผลักดันแคมเปญคนเจนใหม่ หัวใจยั่งยืน เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของวัยหรือเรื่องของใคร มาร่วมสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดีกว่าเดิม สร้างแรงกระเพื่อมการใช้ชีวิตแบบ Net Zero

อนาคตพลังงานทางเลือกของประเทศไทย
กับโอกาสในการลงทุน

ก๊าซเรือนกระจกกว่า 73% มาจากการเผาไหม้ถ่านหิน  น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ   ดังนั้นการปรับเปลี่ยนรูปแบบของพลังงานดังกล่าวมาเป็นพลังงานไฟฟ้าจึงมีความสำคัญ  ในช่วงนี้จะเป็นการแบ่งปันองค์ความรู้และแนวทางในการปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่ เพื่อโลกที่สะอาดและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สมโภชน์ เข้าใจถึงข้อมูลข้างต้นเป็นอย่างดี  แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถเกิดได้ในประเทศไทยเนื่องจากหลายปัจจัย  ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้คือการนำเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา

สมโภชน์

“ผมเชื่อว่าจะเป็น Positive Impact ให้กับประเทศไทย เพราะสิ่งเหล่านี้เพิ่มขีดความสามารถของประเทศเรา ถ้าเราไม่ทําเรื่องพวกนี้ เราจะแข่งขันไม่ได้  เพราะปัจจุบันทุกประเทศใช้ CBAM ในการกีดกันทางการค้า ถ้าสินค้าไทยที่ส่งออกไปมีคาร์บอนคอนเทนต์สูงกว่าประเทศอื่นที่ส่งของเหมือนกับเรา เขาจะจ่ายภาษีน้อยกว่าเราทำให้ของเราขายไม่ได้  เพราะฉะนั้นเราบริหารจัดการให้เกิดตอนนี้ดีกว่าก่อนถูกบังคับให้เกิด”

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ  พบว่ามาจากรถ ซึ่งรถเล็กหรือรถส่วนตัวสร้างมลพิษน้อยกว่ารถใหญ่ สมโภชน์จึงมุ่งไปที่ การขนส่งสาธารณะ โดยนำเงินลงทุนจากต่างประเทศมาทำรถเมล์ไฟฟ้าที่วิ่งให้บริการอยู่ขณะนี้ นับเป็นรายแรกของโลกที่มีรถบัสวิ่งบนถนน 100 กิโลเมตร โดยการใช้แบตเตอรี่ ช่วยลดต้นทุน ลดคาร์บอน ประหยัดพลังงาน ปัจจุบันทดลองวิ่งจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา

“เราประหยัดพลังงานได้ 60% และยังช่วยลดคาร์บอน ดังนั้นธุรกิจที่เราโฟกัสต่อไปจะเป็นเรื่องเหล่านี้ เพราะเราเชื่อว่ามีเงินที่พร้อมลงทุนรออยู่ นอกจากนี้ยังมีเรื่อง Energy Storage System (ESS) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะทํา ประเทศเราต้องไปถึงเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ ต้องมีนโยบาย ตอนนี้รัฐบาลก็เริ่มออกมาส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในประเทศไทยแล้ว”

สมโภชน์ฝากต่อเนื่องในเรื่องที่กล่าวไว้เป็นเรื่องใหญ่มาก   คนใดคนหนึ่งไม่สามารถที่จะทําเรื่องนี้ให้ประสบความสําเร็จได้ ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง  เพราะรัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งนโยบายต่าง ๆ ออกมาแล้ว ก็ต้องส่งสัญญาณนี้ออกไปกับทุกภาคส่วน  ประเทศไทยก็จะไปอยู่อีก Era หนึ่ง

“ทําไมประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ก่อนคนอื่น  เป็นการขายข้ามประเทศแบบที่บริษัทเราทำ   ประเทศไทยอาจจะเป็น Green Resilience  ประเทศแรกของโลกก็ได้ที่เราสามารถ Transformation เรื่องนี้ได้” สมโภชน์กล่าวในท้ายที่สุด

มาถึงบรรทัดนี้จะเห็นได้ว่าการปรับตัวให้ทันเศรษฐกิจโลก
เพื่อสร้างโอกาสการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไทยเป็นสิ่งสำคัญ

พิพิธ อธิบายถึง Action ของธนาคารกสิกรไทยเพื่อก้าวไปสู่การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน และเป็นผู้นำด้าน ESG ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พิพิธ

“เราพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนและผลักดันการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนการดำเนินงานภายในของธนาคารเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกและยกระดับมาตรฐานสู่สากล”

นอกจากนี้ ธนาคารยังได้พัฒนาบริการที่มากกว่าบริการทางการเงิน (Beyond Banking Solutions) เพื่อช่วยให้ลูกค้าปรับตัวได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ นำโซลูชันต่างๆ พร้อมทั้งแนวคิดที่ดีมาปรับใช้ รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน เพื่อหวังผลักดันให้ภาคธุรกิจและองค์กรต่างๆ ปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

การร่วมมือกับลอมบาร์ด โอเดียร์ เพื่อส่งเสริมศักยภาพแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ผ่านแนวคิด RETHINK SUSTAINABILITY ครั้งนี้ จึงนับเป็นกุญแจสำคัญในการพาประเทศไทยให้สามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในอนาคต

 

อูแบร์

อูแบร์กล่าวเพิ่มเติมว่า เราอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่  Net Zero ซึ่งมาพร้อมโอกาสในการลงทุนอย่างมหาศาล ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลง โดยหันมาให้ความสำคัญกับธรรมชาติ ผู้ลงทุนจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์การลงทุน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainable Investment) ซึ่งถือยุทธศาสตร์การลงทุนที่สำคัญ ที่ไม่เป็นเพียงแค่ทางรอดให้กับเงินลงทุนของผู้ลงทุน ยังเป็นทางรอดให้กับองค์กรและประเทศต่างๆ ในระดับโลกด้วย

“ธุรกิจที่ยั่งยืน เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจไปสู่ความยั่งยืนได้ เพราะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจใหม่อย่าง CLIC® ซึ่งจะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่มีมูลค่ามหาศาลเท่านั้น แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจแห่งอนาคตไปสู่ความยั่งยืนได้ด้วย ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่ยั่งยืนประกอบด้วย 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจที่นำเสนอแนวทางและผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Solution Providers) และ กลุ่มธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และ/หรือ รูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero (Transition Candidates)”

จิรวัฒน์

จิรวัฒน์ กล่าวในตอนท้ายของงานว่า เมื่อนักลงทุนคือหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน เคแบงก์ ไพรเวท แบงก์กิ้ง เล่าถึงการลงทุนกับกองทุนของ Lombard Odier  กับกองทุนของผู้จัดการกองทุนหลายกองทุนในประเทศในโลกพบว่า  ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา KBank Private Banking เริ่มแนะนําลูกค้าไปลงทุนในกองทุนเปลี่ยนโลกต่าง ๆ  ได้เรียนรู้มากมายนำองค์ความรู้จากการลงทุนมาแบ่งปันได้ เพราะปัญหาของทุกอุตสาหกรรมก็มักจะเป็นปัญหาเดียวกันกับในประเทศไทย  เราต้องคิดใหม่สามารถเรียนรู้จากต่างประเทศได้ เ เราจะก้าวไปด้วยกันโดยสิ่งที่เรียกว่า Investment led Education และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน หรือ Investment-led sustainability ของทุกภาคส่วนได้จริง

ตลอดเวลาของงาน จึงเป็นการเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยเพื่อมุ่งไปสู่ความยั่งยืน ตลอดจนความท้าทายและโอกาสจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ในเรื่องนโยบายและกฎเกณฑ์จากทางภาครัฐ การสร้างระบบนิเวศและแพลตฟอร์มที่จำเป็นในการเปลี่ยนผ่านเพื่อนำมาซึ่งประโยชน์กับทั้งสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม

The post KBank Private Banking  X Lombard Odier เผยแนวคิด RETHINK SUSTAINABILITYผลักดันและเร่งให้เกิดการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ความยั่งยืน appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[บทบาทใหม่วงการบันเทิง เพิ่ม Storytelling ให้คนสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23661 2024-03-14T16:08:57Z 2024-03-15T05:00:22Z 15 มีนาคม 2567...Good Energy ที่ปรึกษาด้านการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ไม่แสวงหาผลกําไร เชื่อว่า ฮอลลีวูดอยู่ในสถานะโดดเด่นกว่าใคร หากจะเป็นผู้โน้มน้าวการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาโลกรวน (Climate Change)

The post บทบาทใหม่วงการบันเทิง เพิ่ม Storytelling ให้คนสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

15 มีนาคม 2567…Good Energy ที่ปรึกษาด้านการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ไม่แสวงหาผลกําไร เชื่อว่า ฮอลลีวูดอยู่ในสถานะโดดเด่นกว่าใคร หากจะเป็นผู้โน้มน้าวการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาโลกรวน (Climate Change) ด้วยการทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างดาราหรือพิธีกรดัง กับผู้เชี่ยวชาญการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ที่ต้องการสื่อสารประเด็นสำคัญนี้ผ่านหน้าจออย่างมีความหมายในทุกประเภทสื่อ

“เหตุใดวิกฤตสภาพภูมิอากาศจึงหายไปจากหน้าจอของเรา” Anna Jane Joyner ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Good Energy ตั้งคำถาม เมื่อสังเกตเห็นรูปแบบในอุตสาหกรรมบันเทิงว่า การกล่าวถึงปัญหาโลกรวน ส่วนใหญ่ไม่มีอยู่ในสคริปต์ ทั้ง ๆ ที่อุตสาหกรรมเองมีส่วนรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ตั้งแต่การทําให้คําว่า “ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก” เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ไปจนถึงการเพิ่มแนวทางปฏิบัติด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการไม่แบ่งแยกทั้งในและนอกจออย่างมีนัยสําคัญ

Joyner อธิบายกับ Sustainable Brands® ว่า แม้ Storytelling เกี่ยวกับการแก้ปัญหาโลกรวน จะมีคนเคยทำมาแล้วในอดีต แต่ส่วนใหญ่เป็นสารคดี เช่น An Inconvenient Truth (2006) หรือภาพยนตร์เรื่องเล่าวันสิ้นโลก เช่น The Day After Tomorrow (2004) หรือ Snowpiercer (2013) สิ่งนี้นําไปสู่การสนใจอ่าน ฟังอย่างลึกซึ้งและยาวนานทั่วฮอลลีวูด

ระหว่างนั้น Joyner ได้ยินว่าครีเอทีฟหลายคน รวมถึงโปรดิวเซอร์ ผู้กํากับ และผู้บริหาร ต่างกระตือรือร้นที่จะพูดคุย และถ่ายทอดความเป็นจริงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่เข้าใจได้ว่า กลัวการแบ่งขั้ว หากหัวข้อนั้น ๆ ไม่ได้นําเสนอโดยแบ็คอัพด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องสมบูรณ์

Anna Jane Joyner ที่มา คลิกภาพ

 

Joyner ก่อตั้ง Good Energy ในปี 2019 เพื่อช่วยให้นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญด้านความบันเทิงอื่น ๆ รับมือกับประเด็นภาวะโลกรวนด้วยความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทําให้การเล่าเรื่องเป็นกระแสหลักสําหรับผู้ชมทุกคน

นําพลังความดี
เล่าเรื่องดีๆ

ปี 2022 Good Energy และ Media Impact Project ของ USC Norman Lear Center นำเสนอรายงานการสำรวจความเห็น หัวเรื่อง Glaring Absence: The Climate Crisis เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลสคริปต์ทีวี และภาพยนตร์ 37,453 รายการ ตั้งแต่ปี 2016-2020

มีการสำรวจความเห็นผู้ใหญ่ชาวสหรัฐ 2,000 คน ข้อมูลระบุว่า

1.น้อยกว่า 3 % ของทีวีและภาพยนตร์ที่มีสคริปต์ เคยเสนอเรื่องภาวะโลกรวน
2. มากกว่าสามในสี่ (77 %) ตอบว่า เรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นทางสังคมจากทีวี
3. มี 25 % ที่บอกว่าเคยได้ยิน (แต่ไม่ใส่ใจ) เรื่องภาวะโลกรวน จากละครทีวี หรือหนังที่ฉายตามโรงภาพยนตร์

Joyner กล่าวว่า การศึกษานี้ช่วยให้ Good Energy พัฒนาทรัพยากรเพื่ออํานวยความสะดวกในการบูรณาการ เป็นตัวแทนการเล่าเรื่องของสื่อเกี่ยวกับการแก้ปัญหาโลกรวนที่มีจริยธรรมและถูกต้อง ขณะนี้มีเวิร์กช็อป การให้คําปรึกษา และแหล่งข้อมูลหลัก The Playbook for Storytelling in the Age of Climate Change เป็นเครื่องมือดิจิทัลแบบโอเพ่นซอร์สที่ครอบคลุมทุกประเด็นสำคัญ ซึ่งเปิดตัวในเดือนเมษายน 2022 ช่วยให้ทีมสร้างสรรค์พัฒนาเรื่องเล่า โดยมีโอกาสได้ทํางานร่วมกับลูกค้า เช่น Apple TV+, CBC, CBS, Showtime และ Spotify และได้รับการแนะนําในสื่อเกือบ 50 แห่ง ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ที่มาคลิกภาพ ชมตัวอย่างจาก Apple TV+

เรื่องเล่าการแก้ปัญหาโลกรวน
ในสังคม

Dorothy Fortenberry นักเขียนและโปรดิวเซอร์ชื่อดังที่อยู่เบื้องหลังซีรีส์ Apple TV แนวดิสโทเปียเรื่อง Extrapolations ให้ความเห็นว่า ถ้าปัญหาโลกรวนไม่ได้อยู่ในเรื่องของคุณ นั่นก็เป็นได้แค่นิยายวิทยาศาสตร์

ผลกระทบของภาวะโลกรวนเกิดบ่อย และรุนแรงขึ้นทุกวัน ตั้งแต่คลื่นความร้อน ไฟป่า พายุรุนแรง ไปจนถึงธารน้ําแข็ง และภูเขาน้ําแข็งที่ลดน้อยลง เพราะปัญหาภาวะโลกรวนเพิ่มขึ้นทุกวัน

Good Energy ระบุว่า ทุกวันนี้ ทุกคนบนโลกล้วนมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกรวน การได้เห็นตัวละครสะท้อนความเป็นจริงหน้าจอ สามารถช่วยให้ผู้ชมรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง มีแรงบันดาลใจ แทนที่จะวิตกกังวลหรือสิ้นหวัง

Storytelling ถูกนํามาใช้เพื่อเปลี่ยนแปลง  สังคมต้องการแนวทางที่เป็นหนึ่งเดียวในการแก้ไขปัญหา สิ่งมีชีวิตทุกชนิด และทุกมุมโลก ล้วนได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะโลกรวน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่เป็นแค่ “ปัญหาอื่น ๆ” แต่เป็นฉากหลังที่เป็นสากลสําหรับชีวิตของเรา

ฉากหลังนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ สําหรับเรื่องราวสะท้อนสังคมนับไม่ถ้วนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นเรื่องราวที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น

ที่มา

 

The post บทบาทใหม่วงการบันเทิง เพิ่ม Storytelling ให้คนสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[ชาติศิริ โสภณพนิช “ทําอย่างไรให้บริษัทในไทยสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วเพียงพอใน Requirement ของโลกด้านความยั่งยืน”]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23641 2024-03-16T11:18:55Z 2024-03-14T09:35:23Z 14 มีนาคม 2567...ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์พิเศษ SD Perspectives สื่อออนไลน์ด้านความยั่งยืนโดยเฉพาะหัวแรก ในประเด็น Requirement ของโลกด้านความยั่งยืน

The post ชาติศิริ โสภณพนิช “ทําอย่างไรให้บริษัทในไทยสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วเพียงพอใน Requirement ของโลกด้านความยั่งยืน” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

14 มีนาคม 2567…ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ ให้สัมภาษณ์พิเศษ SD Perspectives สื่อออนไลน์ด้านความยั่งยืนโดยเฉพาะหัวแรก ในประเด็น Requirement ของโลกด้านความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของผู้บริหารสูงสุดของธนาคารที่เผยมุมมองผ่านสื่อ ในงาน Economist Impact เปิดตัว 3rd   annual Sustainability Week Asia มีทั้งเหล่าผู้นำทางธุรกิจ, ผู้กำหนดนโยบาย, ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์, ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ NGOs และผู้นำด้านความยั่งยืนกว่า 800 รายภายในงาน และจากช่องทางออนไลน์อีกกว่า 2,000 ราย เพื่อร่วมกันหาคำตอบว่าสังคมจะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านการแก้ไขสภาพภูมิอากาศให้เร็วขึ้นได้อย่างไรบ้าง

SD Perspectives : วันนี้การเปลี่ยนแปลงเรื่อง Sustainability เป็นเรื่องของภาคธุรกิจเอง จําเป็นจะต้องเปลี่ยนเพราะว่าถูกโลกบังคับ , Regurator บังคับ หรือว่าจะต้องเปลี่ยนโดยธรรมชาติคะ

ชาติศิริ : จริง ๆ ก็คือทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไป ถ้าในด้านของการค้าเนื่องจากเราก็เป็นส่วนหนึ่งของ Global Supply Chain เพราะฉะนั้นบริษัทต่าง ๆ ที่ส่งสินค้าออกไปในโลกตะวันตกก็มี Requirement เรื่อง CBAM ดังนั้นก็ต้องปรับตัว แล้วก็ให้ผลิตภัณฑ์ของเขาสามารถเข้าสู่มาตรฐานทางด้าน ESG แล้วก็ Climate Related Financial ได้ เป็น Economic Requirement เรื่องหนึ่งที่จําเป็น

ในอีกด้านหนึ่ง ใช่ เป็นความต้องการทางสังคม และเป็นแรงกดดันจาก Regurator เพื่อจะต้องลด Carbon Emission ลงตาม Global แม้ว่าจะใช้เวลานาน แต่ช่วงนี้นับเป็นจุดเริ่มต้น

SD Perspectives : เวที 3rd annual Sustainability Week Asia ได้เห็นภาพอะไรบ้าง ที่อยากจะบอกทั้งบริษัทขนาดใหญ่และก็เอสเอ็มอี

ชาติศิริ : ผมเห็นว่าอย่างตัวอย่างที่เราได้ยินจากบริษัทใหญ่หลายบริษัท บริษัทรถยนต์ สายการบิน พลังงาน หรือบริษัทในประเทศไทยเช่น เอสซีจี จะเห็นว่าเขามีความตั้งใจและก็ผลักดันอย่างเต็มที่ในการจะหาทาง Decarbonization รวมถึง Net Zero ซึ่งบาง Initiativesก็ไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลาเป็นขั้นเป็นตอนใช้การลงทุนและใช้เทคโนโลยีที่สูง ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและก็น่าดีใจ เป็นจุดเริ่มต้น ให้อีกหลาย ๆ คนจะได้สามารถดําเนินการตามต่อไปได้กัน

SD Perspectives : สําหรับธนาคารกรุงเทพเอง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้าน ESG วันนี้เราพัฒนาอย่างไรบ้าง

ชาติศิริ : เรามี Transition พัฒนาการด้าน Transformation Loan และ Transition Loan และ Green Finance ต่าง ๆ ที่เราให้กับลูกค้าของเรา เพื่อใช้ในการที่จะปรับตัวต่าง ๆ เหล่านี้ และให้เกิดการวางแผนการลงทุนในในธุรกิจพร้อมกันนี้ด้านหนึ่งก็ต้องพยายามที่จะทำงานกับหลาย ๆ เซคเตอร์ขึ้นมา เพื่อที่ว่าจะได้ทําให้สามารถมุ่งสู่เข้ามาตรฐานของโลกได้ในระยะกลางนะครับ

SD Perspectives : ธนาคารมีข้อกังวลสําหรับบริษัทในเมืองไทยด้านความยั่งยืนอย่างไร

ชาติศิริ : ทําอย่างไรให้บริษัทในไทยสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วเพียงพอใน Requirement ของโลก เพื่อให้เรารักษาความสามารถในการแข่งขัน และจะให้เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกตลอดเวลา

SD Perspectives : ธนาคารกรุงเทพ เตรียมเม็ดเงินในการเปลี่ยนแปลงประเด็นของโลกนี้เท่าไหร่

ชาติศิริ : เราก็มีโปรแกรมต่างๆนะครับ เช่น Green Loan ,Bualuang Transition หรือ Green Bond ,SLL ต่าง ๆ และมีผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ต SMEs เพื่อให้สามารถเปลี่ยนผ่าน โดยเป็นเงินจํานวนหนึ่งเป็นระยะเวลา 5 ปี ในอัตราดอกเบี้ยหนึ่งนะครับ อันนี้ก็เป็นความพยายามที่เราก็อยากให้มีการเปลี่ยนผ่าน

ก่อนหน้านี้ภายในงานดังกล่าว ชาติศิริ ขึ้นบนเวทีในช่วง Spotlight Interview: ให้สัมภาษณ์กับ Edward Chui, director, Economist Intelligence Corporate Network, Economist Impact ดังนี้

 

Spotlight Interview

Edward Chui: Net Zero ไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมของธนาคาร บทบาทของธนาคารและส่วนการเงินในการรักษาสมดุลระหว่างผลกำไรสำหรับประชาชน และความยั่งยืน คืออะไร

ชาติศิริ: บริษัทขนาดใหญ่ได้กำหนดเป้าหมายในการรักษาสมดุลระหว่างความยั่งยืน และผลกำไร สำหรับบริษัทขนาดเล็กถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับการเปลี่ยนแปลง และเรียนรู้จากเรื่องดังกล่าว ซึ่งสิ่งจูงใจบางอย่างสามารถช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่แนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนได้

Edward Chui: ธนาคารจะให้ความสนับสนุนด้านความยั่งยืนได้อย่างไร และมีเครื่องมือใดบ้างที่สามารถทำได้

ชาติศิริ: ธนาคารสามารถสนับสนุนได้ใน 3 ด้าน ด้านแรกธนาคารสามารถให้ความรู้ลูกค้าเกี่ยวกับข้อกำหนดด้านความยั่งยืนระดับโลก ขนาดของบริษัทที่แตกต่างกัน จะมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นการเดินทางที่ยาวนานต้องอาศับวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจร่วมด้วย ด้านที่ 2 คือ การจัดหาเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ อาทิพลังงานทดแทน การจัดหาเงินทุนเพื่อโซลาร์เซลล์ การบำบัดของเสีย และนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ และด้านที่ 3 คือ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ให้ลูกค้า เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน

Edward Chui : เมื่อธนาคารสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ธนาคารจำเป็นต้องแนะนำเครื่องมือทางการเงินใหม่หรือไม่

ชาติศิริ: เครื่องมือทางการเงินอย่างการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องมือที่ถูกแนะนำให้กับลูกค้าในภาคส่วนต่าง ๆ อาทิ พลังงานทดแทน และการแปลงเชื้อเพลิงชีวภาพ เป็นต้น นอกจากนี้เรายังมีตราสารหนี้สีเขียว ดัชนีตราสารหนี้ในความยั่งยืน เราเป็นผู้นำในด้านนี้มาเป็นเวลา 4 ปี และจะมีนำเสนอเพิ่มเติมอีกในปลายปีนี้

Edward Chui: ธนาคารกรุงเทพมีส่วนในการสนับสนุนการปรับตัวและบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างไร

ชาติศิริ: เราได้ทำงานร่วมกับธนาคารอื่น ๆ ในประเทศไทย เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย เราร่วมกันจัดทำคำประกาศเรื่อง ESG ร่วมกันในปี 2022 เพื่อขับเคลื่อนความพยายามในด้านความยั่งยืนของเรา เรามุ่งมั่นในการมอบความคิดริเริ่มที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมซึ่งดำเนินการโดยธนาคารในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในส่วนของพลังงาน การขนส่ง การผลิต เกษตรกรรม การก่อสร้าง และการรีไซเคิลขยะที่เรากำลังดำเนินการอยู่

 

Spotlight Interview

Edward Chui: เนื่องด้วยเอเชียต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงคาร์บอนเป็นอย่างมาก อุตสาหกรรมใดที่มีความท้าทายมากที่สุดในการจัดการกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ชาติศิริ: แต่ละอุตสาหกรรมมีความท้าทายที่แตกต่างกันออกไปในด้านของการลดคาร์บอน ซึ่งค่อนข้างยากในการแก้ปัญหา และต้องการเทคโนโลยีและเงินทุนเข้ามาช่วย ในประเทศไทยเรามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยจังหวัดสระบุรีจะกลายมาเป็นเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรก ท้ายที่สุดแต่ละภาคส่วนต้องทำงานเพื่อหาทางแก้ไขในแต่ละภาคส่วน และเดินหน้าต่อไปรับกับความท้าทายที่มีมากขึ้น

Edward Chui: กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนใดที่ธุรกิจและบริษัทควรให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ

ชาติศิริ: กลยุทธ์ควรจะมีการดำเนินการตามแนวทางซึ่งมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความยั่งยืนจากรัฐบาล กลยุทธ์ดังกล่าวรวมไปถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อให้ได้มาตรฐานในระดับภูมิภาค อาทิ มาตรการด้านคาร์บอนของสหภาพยุโรปสำหรับสินค้าข้ามพรมแดน หากต้องการส่งออกสินค้าไปยังประเทศในกลุ่มดังกล่าว บริษัทจะต้องตระหนักถึงข้อกำหนดจากห่วงโซ่อุปทานระดับโลกด้วย

Edward Chui: ในเรื่องของ ESG ทุกอย่างเป็นเรื่องการเมือง การพัฒนาทางภูมิศาสตร์ทางการเมืองในปัจจุบันกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนส่งผลต่ออาเซียนอย่างไร

ชาติศิริ: ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนยังส่งผลกระทบต่อภูมิภาคนี้เช่นกันเนื่องจากเป็นการทำให้ราคาของสูงขึ้น แต่ก็ยังมีโอกาสที่ดีในด้านต่าง ๆ อยู่ อาทิ การลงทุนในพลังงานทดแทน กลยุทธ์ทางธุรกิจอย่าง China Plus One จะนำไปสู่การลงทุนใหม่และข้อกำหนดของ ESG ใหม่ การกระจายความเสี่ยงแบบนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของธุรกิจได้

Edward Chui: การลงทุนอย่างต่อเนื่องมีความสำคัญ มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลที่มีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละประเทศและบริษัทในการปฏิบัติตาม ESG และความยั่งยืน

ชาติศิริ: ถือเป็นโอกาสดีเมื่อมีการลงทุนใหม่เกิดขึ้นในประเทศ สำหรับในอาเซียนการลงทุนใหม่นั้นจำเป็นต้องมาพร้อมแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน ทั้งในส่วนของบริษัทและภารรัฐ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการปฏิบัติตามหลักปฏิบัติด้านความยั่งยืน

Edward Chui: อะไรคือความท้าทายที่สำคัญสำหรับคุณและลูกค้าในเรื่องความยั่งยืน?

ชาติศิริ: ความท้าทายแรกคือการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับข้อกำหนดด้านความยั่งยืน ซึ่งสิ่งนี้เป็นเทรนด์โลก เราจำเป็นต้องจัดการวิธีการวางแผนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระเบียบโดยมีข้อกำหนดทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นไปได้ ความท้าทายที่สองคือสร้างความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้ในแต่ละขั้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเดินทางไปในเส้นทางนี้

สรุป

1.ธนาคารมีเครื่องมือที่ทำให้เกิดการเงินที่มีความยั่งยืนได้ อาทิ การเงินในพลังงานทดแทน และตราสารหนี้สีเขียว
2.ในแต่ละภาคส่วนมีความท้าทายด้านความยั่งยืนที่ต้องแก้ปัญหาแตกต่างกันไป ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีและเงินทุน
3.ธุรกิจต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความยั่งยืนของรัฐบาล ซึ่งมีความแตกต่างกัน
4.กลยุทธ์ อาทิ China Plus One สามารถนำไปสู่การลงทุนใหม่ และข้อกำหนดของ ESG ใหม่ได้
5.ความท้าทายที่สำคัญ คือ การสร้างความตระหนักรู้ในด้านความยั่งยืน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

The post ชาติศิริ โสภณพนิช “ทําอย่างไรให้บริษัทในไทยสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วเพียงพอใน Requirement ของโลกด้านความยั่งยืน” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[เอสซีจี เผยการแก้โจทย์เปลี่ยนผ่านสู่ “พลังงานสะอาด”]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23635 2024-03-13T14:04:22Z 2024-03-13T14:04:22Z 13 มีนาคม 2567...ต้องใช้จุดแข็งของประเทศผสานพลังของเทคโนโลยี แก้โจทย์พลังงานสะอาดและพัฒนานวัตกรรมกรีน ในงาน Economist Impact's 3rd Annual Sustainability Week Asia

The post เอสซีจี เผยการแก้โจทย์เปลี่ยนผ่านสู่ “พลังงานสะอาด” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

13 มีนาคม 2567…เอสซีจี เผยมุมมองการเปลี่ยนผ่านสู่สังคม Net Zero ควบคู่สร้างการเติบโตให้เอเชียอย่างยั่งยืน ต้องใช้จุดแข็งของประเทศผสานพลังของเทคโนโลยี แก้โจทย์พลังงานสะอาดและพัฒนานวัตกรรมกรีน ในงาน Economist Impact’s 3rd Annual Sustainability Week Asia


การสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควบคู่ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนบนสังคม Net Zero

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ได้แบ่งปันมุมมองในประเด็นดังกล่าว ร่วมกับผู้นำองค์กรระดับโลกบนเวทีเสวนา หัวข้อ “Achieving Net Zero: Matching Ambition with Action” ในงาน 3rd Annual Sustainability Week Asia โดย Economist Impact

ธรรมศักดิ์ กล่าวบนเวทีเสวนาว่า เอสซีจีเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ใช้พลังงานมาก ถ้าเอสซีจีจะไปถึงเป้าหมาย Net Zero 2050 ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต

“อย่างธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน กำลังเดินหน้าปูนคาร์บอนต่ำด้วยนวัตกรรมวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิตมาตรฐานใหม่ พร้อมส่วนผสมพิเศษที่เอสซีจีพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ทำให้ปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชันแรก สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 10 ปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก อีกร้อยละ 5 และจะพัฒนารุ่นต่อ ๆ ไป ให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อย ๆ”

 

บนเวทีเสวนา หัวข้อ “Achieving Net Zero: Matching Ambition with Action”

 

ในแง่ของความท้าทายธรรมศักดิ์มองถึงเรื่องการเข้าถึงพลังงานสะอาด การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสู่คาร์บอนต่ำให้ได้ไว ต้องมองหาพลังงานสะอาดที่ราคาจับต้องได้ เข้าถึงง่าย ซึ่งแต่ละพื้นที่มีสิ่งที่ตอบโจทย์แตกต่างกัน”

“เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด สิ่งสำคัญคือ การนำเทคโนโลยีมาผสานกับจุดแข็งของแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาค เช่น ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม สามารถนำเทคโนโลยีมาเปลี่ยนพืชผลเกษตรเหลือใช้ อย่างใบอ้อย ฟางข้าว ซังข้าวโพดให้กลายเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทดแทนพลังงานฟอสซิล ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะที่ควบคุมต้นทุนได้ดี เอสซีจีจึงเร่งเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอย่างเต็มที่”

ธรรมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลิตผลเกษตรยังสามารถนำมาพัฒนานวัตกรรมกรีน อย่างพลาสติกชีวภาพ ซึ่งตลาดโลกต้องการมาก ทิศทางนี้จะช่วยให้เราเดินหน้าธุรกิจ เศรษฐกิจ ควบคู่กับสังคม Net Zero ได้เร็วยิ่งขึ้น องค์กรจึงควรลงทุนและสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีกับทุกภาคส่วน”

“เราพร้อมร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนในเอเชียและทั่วโลก เพื่อสร้างสังคม Net Zero ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยนวัตกรรมกรีน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามแนวคิด Passion for Inclusive Green Growth ของเอสซีจี” ธรรมศักดิ์ กล่าวในท้ายที่สุดทิ้ ถึงความมุ่งมั่นของเอสซีจี

 

The post เอสซีจี เผยการแก้โจทย์เปลี่ยนผ่านสู่ “พลังงานสะอาด” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[เผยหลักสำคัญ 3 ประการ แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบ SUSTAINOMY]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23629 2024-03-13T11:42:08Z 2024-03-13T11:42:08Z 13 มีนาคม 2567…เป็นแนวคิดที่ ปิยะชาติ (อาร์ม) อิศรภักดี CEO BRANDi and Companies กับแนวคิดการสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกับยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์และดูแลสิ่งแวดล้อม

The post เผยหลักสำคัญ 3 ประการ แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบ SUSTAINOMY appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

13 มีนาคม 2567…เป็นแนวคิดที่ ปิยะชาติ (อาร์ม) อิศรภักดี CEO BRANDi and Companies กับแนวคิดการสร้างความมั่งคั่งไปพร้อมกับยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์และดูแลสิ่งแวดล้อม

ปิยะชาติ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ “The New Global Economy: Making Capitalism Work for the Environment and Communities” ที่งาน Economist Impact’s 3rd annual Sustainability Week Asia

แม้ระบบเศรษฐกิจปัจจุบันจะสร้างผลประโยชน์มากมายให้กับมนุษยชาติ ผลประโยชน์เหล่านั้นไม่สามารถเทียบได้เลยกับผลเสียที่ระบบเศรษฐกิจสร้างขึ้น อาทิ ความไม่เป็นธรรมในการกระจายความมั่งคั่ง สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนที่ย่ำแย่ลง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ยั่งยืน จึงเป็นที่มาของแนวคิดใหม่ของปิยะชาติคือ “Sustainomy

“Sustainomy เป็นแนวคิดที่มุ่งสร้างนิยามใหม่ของระบบทุนนิยมที่ให้ความสำคัญไม่เพียงแต่กับผลตอบแทนทางการเงิน แต่รวมถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมด้วย  ความเชื่อมโยงระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ และสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นประเด็นที่จะได้รับความสำคัญ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจใหม่อย่าง Sustainomy”

 

ปิยะชาติ บนเวที Economist Impact’s 3rd annual Sustainability Week Asia

หลักสำคัญ 3 ประการของ “Sustainomy” ได้แก่

1.เติบโตมากกว่าผลกำไร: ขยายคำจำกัดความของการเติบโตให้ครอบคลุมไม่เพียงแต่ด้านการมั่งคั่ง (Prosperity) แต่รวมถึงยังรวมถึงความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คน (People) และความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Planet) ด้วย
2.สร้างพอร์ตโฟลิโอที่สมดุล: ส่งเสริมองค์ประกอบของเศรษฐกิจที่มีความสมดุล โดยมีสัดส่วนของอุตสาหกรรมที่มีมาอยาวนานและมีความมั่นคง (เศรษฐกิจจริง — Real Sector) และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมนวัตกรรม แต่มีความผันผวน (เศรษฐกิจเสมือน — Virtual Sector) ที่เหมาะสม
3.เสริมความแข็งแกร่งให้กับ “ตรงกลาง”: ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศกำลังพัฒนา วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และกลุ่มชนชั้นกลาง ในการขับเคลื่อนทางออกใหม่ที่ยั่งยืน

ปิยะชาติกล่าวในตอนท้ายว่า Sustainomy จะสามารถเกิดเองได้ผ่านไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ทำแนวคิดนี้อย่างธรรมชาติ ไม่ใช่การถูกบังคับด้วย Regulator อีกทั้งต้องมี “ความร่วมมือ” คือปัจจัยสำคัญ โดยทั้งภาคองค์กรและตลาด ต้องเปลี่ยนแปลงตามเศรษฐกิจภาพใหญ่ จึงจะนำมาซึ่งเศรษฐกิจใหม่ที่แท้จริง และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกคน

 

The post เผยหลักสำคัญ 3 ประการ แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบ SUSTAINOMY appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[กสิกรไทยจัดเต็ม EARTH JUMP 2024 ฟอรัม ได้ทุกมิติทั้งมุมมอง “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”+ “ร่วมทำบุญ”]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23618 2024-03-12T14:01:15Z 2024-03-12T13:56:39Z 12 มีนาคม 2567... ในปีนี้จะได้เรียนรู้แนวคิดและเทรนด์ธุรกิจจากผู้บริหารองค์กรชั้นนำและเจ้าของธุรกิจกว่า 30 ราย โอกาสในการรับคำปรึกษาเชิงลึกแบบตัวต่อตัวจาก 10 บริษัทระดับโลกและไทย พร้อมกิจกรรมเวิร์กชอป

The post กสิกรไทยจัดเต็ม EARTH JUMP 2024 ฟอรัม ได้ทุกมิติทั้งมุมมอง “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”+ “ร่วมทำบุญ” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

12 มีนาคม 2567… ธนาคารกสิกรไทย จัดงาน “EARTH JUMP 2024 : The Edge of Action” เป็นปีที่ 2 ฟอรัมสุดยิ่งใหญ่แห่งปีที่ห้ามพลาด งานที่จะพานักธุรกิจและผู้ประกอบการก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปีนี้จะได้เรียนรู้แนวคิดและเทรนด์ธุรกิจจากผู้บริหารองค์กรชั้นนำและเจ้าของธุรกิจกว่า 30 ราย โอกาสในการรับคำปรึกษาเชิงลึกแบบตัวต่อตัวจาก 10 บริษัทระดับโลกและไทย พร้อมกิจกรรมเวิร์กชอป โดยงานจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2567 เวลา 9.00 – 17.00 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์

ปัญหาโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงและสร้างผลกระทบใกล้ตัวพวกเรามากขึ้นทุกขณะ มีสถิติว่าในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาเป็นปีที่โลกของเราร้อนที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมา หลายประเทศในโลกเริ่มดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างจริงจังเพื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยจากภาคอุตสาหกรรม เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ที่เริ่มมีการนำมาใช้เมื่อเดือนตุลาคม 2566 และมาตรการ CCA (Clean Competition Act) ของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเริ่มใช้ในปี 2569 มีการประเมินว่าหากทั้ง 2 มาตรการนี้บังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบแล้วจะกระทบกับมูลค่าการส่งออกประมาณ 216,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1% ของจีดีพีไทย ทำให้ธุรกิจไทยที่ส่งสินค้าไปยังตลาดเหล่านี้ต้องเร่งปรับตัวให้เป็นธุรกิจแบบคาร์บอนต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็กำลังพิจารณา พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ. Climate Change) และมาตรการการเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปีนี้

งานนี้ผู้เข้าร่วมงานจะได้เรียนรู้เทรนด์และความรู้มุมมองใหม่ๆ ครบทุกมิติในงานเดียว ได้แก่

สัมมนาเชิงลึก เจาะทุกเทรนด์ รู้ทันทุกความเคลื่อนไหวทั้งสถานการณ์ไทยและสถานการณ์โลก รวมถึงรับฟังแนวคิดและประสบการณ์จากผู้บริหารองค์กรชั้นนำและเจ้าของธุรกิจกว่า 30 ราย โดยแบ่งเป็น 2 เวทีหลัก คือ

1.Vision to Action Stage เปิดเวทีอัปเดตสถานการณ์ Climate Change ของไทยและโลกในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย Net Zero แนวทางการปรับตัวของธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ การสนับสนุนของสถาบันการเงินและตลาดทุน รวมไปถึงนโยบายต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หรือ การปฏิรูปไฟฟ้าเสรี ที่จะเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำคัญของภาคธุรกิจ

ร่วมรับฟังปาฐกถาพิเศษจากเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และขัตติยา อินทรวิชัย CEO ธนาคารกสิกรไทย นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมงานจะได้เรียนรู้แนวคิดและกลยุทธ์จากผู้บริหารองค์กรชั้นนำทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนผลักดันให้ประเทศไปสู่ Net Zero ได้แก่ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) International Finance Corporation (IFC) ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมสรรพสามิต สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สถาบัน TDRI B.Grimm Power และ พลังงานบริสุทธิ์ เป็นต้น

2. Story to Action Stage เพราะเรื่องของความยั่งยืนเป็นประเด็นสำคัญต่อทุกธุรกิจ รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องเร่งปรับตัว ในปีนี้จึงจัดเวทีเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ทั้งอัปเดตเทรนด์ พร้อมให้ความรู้ในการปรับตัวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยเป็นการเล่าผ่านธุรกิจที่ลงมือทำจริงและประสบความสำเร็จ เช่น ป่าสาละ ชีวาศรม โบ.ลาน PASAYA และตลาดสี่มุมเมือง เป็นต้น เพื่อจุดประกายให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้จริง

Business Clinic เจ้าของธุรกิจสามารถลงทะเบียนขอรับคำปรึกษาแบบตัวต่อตัว (จำนวนจำกัด) กับบริษัทที่ปรึกษาและผู้ให้บริการโซลูชันในด้านต่างๆ กว่า 10 บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความรู้และประสบการณ์ในการวางแผนการปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจไทยก้าวไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ได้แก่

1.JUMP Startup Clinic การให้คำปรึกษากับธุรกิจ Startup จากตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ปรึกษาการวางแผนธุรกิจกับ Baker & McKenzie ปรึกษาเรื่องกฎหมายกับ McKinsey & Company ปรึกษาเรื่อง Tech & Solution กับ Accenture และปรึกษาเรื่องการวางแผนระดมทุนกับ Beacon Venture Capital

2.JUMP Low Carbon Business Clinic การให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นธุรกิจคาร์บอนต่ำ (Decarbonize) จากผู้เชี่ยวชาญ ​ได้แก่ Decarbonization Advisory, Energy Efficiency, EV Charger, Solar Roof, Low Carbon Packaging และ Green Loan

กิจกรรม Workshop เปิดโอกาสให้ทั้งภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่สนใจได้เรียนรู้เรื่อง Climate Change ผ่านรูปแบบ Card Game ที่สนุกสนานและเข้าใจง่าย เพื่อให้ความรู้และเข้าใจปัญหา Climate Change อย่างลึกซึ้ง ​

ผู้ที่สนใจสามารถซื้อบัตร Early Bird ในราคา 900 บาท (จากราคาเต็ม 1,400 บาท) ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2567 โดยรายได้จากการจำหน่ายบัตรทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะมอบให้กับมูลนิธิการกุศล สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และซื้อบัตรร่วมงานได้ที่ Zip Event คลิก https://www.kasikornbank.com/k_3IgdPWE หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888

ข่าวเกี่ยวข้อง
กสิกรไทยจัดงานสัมมนา EARTH JUMP 2023

The post กสิกรไทยจัดเต็ม EARTH JUMP 2024 ฟอรัม ได้ทุกมิติทั้งมุมมอง “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”+ “ร่วมทำบุญ” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[บางจากฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 Kick Off กิจกรรมเพื่อสังคม “Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ by Bangchak Group”]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23609 2024-03-11T15:08:47Z 2024-03-11T14:57:35Z 11 มีนาคม 2567...รายการแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM Education - วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์) เพื่อสร้างให้เกิดความสนใจ STEM

The post บางจากฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 Kick Off กิจกรรมเพื่อสังคม “Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ by Bangchak Group” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

11 มีนาคม 2567…รายการแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM Education – วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์) เพื่อสร้างให้เกิดความสนใจในแขนงวิชา STEM ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาต่อยอดให้ประเทศไทยในอนาคต เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันที่ 3 เมษายน 2567 ทางช่องเวิร์คพอยท์ 23

 

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือกับบริษัท เวิร์คพอยท์ จำกัด (มหาชน) ผลิตรายการดังกล่าว เป็นการเปิดพื้นที่ให้คอนเทนต์สร้างสรรค์ทางวิชาการผ่านจอโทรทัศน์ สนับสนุนให้เยาวชนมีพื้นที่ในการแสดงความสามารถทางวิชาการ สร้างแรงกระตุ้นให้มีความตื่นตัวในสาขาวิชาหลักที่เป็นฐานรากในการพัฒนาประเทศสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว อันได้แก่ Science, Technology, Engineering & Mathematics โดยเชิญโรงเรียนชั้นนำของประเทศไทย 16 โรงเรียนมาช่วยกันสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ผ่านการแข่งขัน ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พร้อมทุนการศึกษา 1,000,000 บาท จัดแข่งขันเป็นฤดูกาลอย่างต่อเนื่องทุกปี

ตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจ บางจากฯ มุ่งมั่นในพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับสิ่งแวดล้อมและสังคม ร่วมส่งเสริมการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนผ่านโครงการต่างๆ ของบริษัทฯ และมูลนิธิใบไม้ปันสุขซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 โดยในปี 2567 นี้ ที่บริษัทฯ กำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 5 อย่างมั่นคง บริษัทฯ มีแผนจัดโครงการและกิจกรรมหลากหลายเพื่อผู้มีส่วนได้เสีย
ทางธุรกิจและสังคมในวงกว้างด้วยแนวคิด “ส่งต่อความสุขไม่สิ้นสุด” เริ่มต้นด้วยการสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่เพื่อประเทศไทยยั่งยืน “Regenerate the New Generation” ผ่านรายการ “Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ by Bangchak Group” ทางเวิร์คพอยท์ทีวี เป็นรายการเกมส์โชว์ตอบปัญหาสำหรับเยาวชนตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM Education) เพื่อค้นหาอัจฉริยะในระดับมัธยมปลาย

 

รายการ “Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ by Bangchak Group” จะเป็นเวทีที่ส่งเสริมความรู้ การใช้ไหวพริบและความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิเคราะห์ การทำงานร่วมกัน และการสื่อสารให้กับผู้เข้าแข่งขัน เปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับเยาวชนผ่านรูปแบบรายการแข่งขันที่กระชับ สนุกและตื่นเต้น พร้อมทั้งสร้างความน่าสนใจให้ผู้ชมติดตามชมและเชียร์ รวมถึงสร้างความรู้สึกต้องการมีส่วนร่วม
ในการตอบคำถามและไขปริศนาต่างๆ

รายการ “Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ by Bangchak Group” ออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์ 23 ทุกวันพุธ เวลา 20.15 น. – 21.30 น. เริ่มออกอากาศครั้งแรกวันที่ 3 เมษายน 2567

 

The post บางจากฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 Kick Off กิจกรรมเพื่อสังคม “Genwit อัจฉริยะพันธุ์ใหม่ by Bangchak Group” appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>
jirapan Unyapo <![CDATA[GC คว้า Top1% S&P Global ESG Scores]]> https://www.sdperspectives.com/?p=23604 2024-03-10T15:44:42Z 2024-03-10T15:44:42Z 10 มีนาคม 2567...“The Sustainability Yearbook” เป็นการจัดอันดับทำเนียบบริษัทยั่งยืน จากการประเมินความยั่งยืนระดับสากลโดย S&P Global โดยในปี 2024 มีบริษัททั่วโลกเข้าร่วมประเมินมากกว่า 9,400 บริษัท มีเพียง 759 บริษัท ที่ได้รับผลคะแนนถึงเกณฑ์ และอยู่ใน Yearbook Member จาก 62 กลุ่มอุตสาหกรรม

The post GC คว้า Top1% S&P Global ESG Scores appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>

10 มีนาคม 2567…ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า GC ได้รับการจัดอันดับทำเนียบบริษัทยั่งยืนระดับโลก ด้วยคะแนน Top 1% S&P Global ESG Scores เป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนสูงสุดในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ จากกว่า 355 บริษัทในกลุ่มเคมีภัณฑ์ทั่วโลก ตอกย้ำภาพองค์กรต้นแบบความยั่งยืนระดับโลก

GC กำหนดกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 สอดคล้องกับความตกลงปารีสตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้เป็นการทำงาน ผ่านการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก ที่ชัดเจนและวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

1.Efficiency-driven: เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน พร้อมเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2566 มีโครงการด้านอนุรักษ์พลังงานรวม 194 โครงการ ลดการใช้พลังงานได้กว่า 1.84 ล้านจิกะจูล

2. Portfolio-driven: ปรับโครงสร้างธุรกิจสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ และธุรกิจที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพและหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Bio & Circularity Business) รวมทั้ง ENVICCO โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ระดับ Food Grade ที่ได้รับการรับรองโดย สำนักคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (อย.) เป็นรายแรกในประเทศไทย องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) รวมถึงหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European Food Safety Authority : EFSA) ซึ่งสามารถช่วยลดพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทยได้กว่า 60,000 ตันต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 75,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

3.Compensation-driven: การปลูกป่าทั้งป่าบก และป่าชายเลน เพื่อดูดซับคาร์บอนจากธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี (พ.ศ. 2556-ปัจจุบัน) โดยร่วมกับหน่วยงานราชการ คู่ค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจ และพันธมิตร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเชิงบวก อีกทั้งเป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชนจากผลผลิตทางการเกษตร

GC มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้การสร้างสมดุลของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance & Economic) (ESG) พร้อมมุ่งมั่นส่งเสริมความยั่งยืนให้เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ โดยขยายความร่วมมือไปยังทุกภาคส่วน ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก GC ตระหนักเสมอว่า ในฐานะประชากรโลกบริษัทฯ มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการดูแล สร้างสมดุลที่ยั่งยืนให้กับทุกชีวิต เพื่อส่งต่อโลกใบนี้ที่ดีกว่าเดิมให้คนรุ่นต่อไป

“The Sustainability Yearbook” เป็นการจัดอันดับทำเนียบบริษัทยั่งยืน จากการประเมินความยั่งยืนระดับสากลโดย S&P Global โดยในปี 2024 มีบริษัททั่วโลกเข้าร่วมประเมินมากกว่า 9,400 บริษัท มีเพียง 759 บริษัท ที่ได้รับผลคะแนนถึงเกณฑ์ และอยู่ใน Yearbook Member จาก 62 กลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทฯ มีการบริหารจัดการครบทุกมิติตามหลัก ESG สามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ลงทุน รวมถึงสร้างคุณค่าระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งผลการจากประเมินนี้ ยังใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาเข้าเป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนระดับโลก Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ซึ่ง GC เป็นสมาชิกของ DJSI World Index ด้วยผลการประเมินอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ 5 ปีต่อเนื่อง เช่นกัน

 

The post GC คว้า Top1% S&P Global ESG Scores appeared first on SD PERSPECTIVES LIFESTYLE SUSTAINABILITY.

]]>