5 มิถุนายน 2564…“วันสิ่งแวดล้อมโลก” ปีนี้ UNEP หรือ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme)เปิด “การฟื้นฟูระบบนิเวศ” หมายถึงการช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมหรือถูกทําลาย รวมถึงการอนุรักษ์ระบบนิเวศที่ยังคงสภาพเดิม
ระบบนิเวศที่มีสุขภาพดีพร้อมทั้งมีความหลากหลายทางชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ให้ประโยชน์มากขึ้น เช่น ดินที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น ได้ผลผลิตไม้และปลาที่มากกกว่า และมีที่เก็บก๊าซเรือนกระจกขนาดใหญ่
ตัวอย่างการเสื่อมโทรมอาจเป็นผลมาจากนโยบายที่เป็นอันตราย เช่น เงินอุดหนุนสําหรับการทําฟาร์มอย่างเข้มข้น หรือกฎหมายที่อ่อนแอ ซึ่งส่งเสริมการตัดไม้ทําลายป่า ทะเลสาบ และชายฝั่งอาจเป็นมลพิษ เพราะการจัดการของเสียที่ไม่ดี หรืออุบัติเหตุของอุตสาหกรรม ทำให้แรงกดดันเรื่องการค้าการขายหายไปจากเมืองที่มียางมะตอยมากเกินไป และพื้นที่สีเขียวน้อยเกินไป
การฟื้นฟูระบบนิเวศทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ช่วยปกป้องและพัฒนาวิถีชีวิตของผู้คนที่พึ่งพาพวกมัน นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมโรค และลดความเสี่ยงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในความเป็นจริงการฟื้นฟูสามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทุกเรื่อง
การฟื้นฟูสามารถเกิดขึ้นได้หลายวิธี เช่น ผ่านการลงมือปลูกอย่างแข็งขัน หรือเคลื่อนย้ายปัจจัยกดดัน โดยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวมันเอง จริง ๆ แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เสมอไป หรือเป็นไปอย่างที่ต้องการ เพื่อคืนระบบนิเวศกลับสู่สถานะเดิม เรายังคงต้องการพื้นที่เพาะปลูก และโครงสร้างพื้นฐานบนบกที่ในอดีตเช่น เคยเป็นป่า และระบบนิเวศเช่น สังคมจําเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
นับจากนี้ถึงปี 2574 (2030) การฟื้นฟูระบบนิเวศทางบกและทางน้ําที่เสื่อมโทรม 350 ล้านเฮกตาร์ สามารถสร้างบริการระบบนิเวศมูลค่า 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ การฟื้นฟูยังสามารถกําจัดก๊าซเรือนกระจก 13 ถึง 26 กิกะตันออกจากชั้นบรรยากาศ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการทำเรื่องดังกล่าวมีมูลค่าเกิน 9 เท่าของการลงทุน ขณะที่หากไม่ดําเนินการมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการฟื้นฟูระบบนิเวศ 3 เท่า
ทั้งนี้ ระบบนิเวศทุกชนิดสามารถฟื้นฟูได้ ซึ่งรวมถึงป่า พื้นที่เพาะปลูก เมือง พื้นที่ชุ่มน้ํา และมหาสมุทร
ไม่ว่าคุณเป็นใคร ก็สามารถริเริ่มเรื่องการฟื้นฟูได้ ตั้งแต่รัฐบาล หน่วยงานพัฒนาธุรกิจ ชุมชน และปัจเจกบุคคล นั่นเป็นเพราะสาเหตุของการเสื่อมสภาพมีมากมาย หลากหลาย และส่งผลกระทบในระดับที่แตกต่างกัน
ที่มา