2-3 พฤษภาคม 2565…บริษัทกำลังอยู่บนเส้นทาง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะนักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเลวร้ายที่สุดของภาวะโลกร้อน
การปล่อยคาร์บอนของ PUMA รวมถึงคาร์บอนซึ่งเกิดจากการซื้อพลังงานลดลง 88% ในปี 2564 เมื่อเทียบกับฐานในปี 2560 PUMA ลดการปล่อยมลพิษในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งเป็นส่วนที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุดในธุรกิจ แม้ PUMA จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 65% ระหว่างปี 2017 ถึง 2021 แต่บริษัทก็ลดการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ จากซัพพลายเชนลงได้เพียง 12% หากคิดตามอัตราส่วนการเติบโตของยอดขาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากห่วงโซ่อุปทานของ PUMA ลดลง 46%
ช่วงที่ผ่านมา PUMA เน้นซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 100% จากโรงไฟฟ้าซึ่งได้รับใบรับรองทำกิจการพลังงานหมุนเวียนแล้ว รวมถึงเปลี่ยน Fleet ยานยนต์ของบริษัทไปใช้ไฟฟ้าแทน รวมถึงการใช้วัสดุยั่งยืนมากขึ้น และปรับปรุงประสิทธิภาพในระดับโรงงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดลงนี้
“เป็นครั้งแรกที่เราเผยแพร่ตัวเลขสำหรับห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของเรา และเรามีความคืบหน้าเป็นรูปธรรมที่สามารถบรรลุเป้าหมายการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ และทำการปรับปรุงต่อไปเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ดีกว่าในระยะยาวของเรา” Stefan Seidel หัวหน้าอาวุโสฝ่ายความยั่งยืนขององค์กรกล่าว
การใช้วัตถุดิบที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลงถือเป็นเสาหลักสำคัญของกลยุทธ์ความยั่งยืนของ PUMA ในปี 2564 PUMA ได้เพิ่มการใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิลเป็น 55% ในผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่จะใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 75% ในเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายในปี 2568 ในภาพรวม PUMA ตั้งเป้าผลิตสินค้า 9 ใน 10 รายการ โดยใช้วัสดุที่ยั่งยืนภายในปี 2568 ทั้งนี้ ในปี 2564 ทำได้ 6 จากทั้งหมด 10 รายการ
ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Fashion Industry Charter for Climate Action ซึ่งสนับสนุนโดย UN Climate นั้น PUMA ตระหนักถึงบทบาทสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่นในการกำจัดคาร์บอน และยังทำงานร่วมกับแบรนด์ รัฐบาล และ NGO อื่นๆ เพื่อลดการปล่อย CO2 ตลอดห่วงโซ่อุปทาน