28-29 พฤษภาคม 2565…คาร์บอนฟุตพริ้นท์กว่าครึ่งมาจากการผลิตส่วนผสมจากนม ซึ่งบริษัทกำลังตั้งเป้าเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ที่ฟาร์มโคนมในรัฐเวอร์มอนต์ซึ่งเป็นผู้จัดหานมให้แก่ไอศกรีมของ Ben & Jerry’s วัวจะเริ่มกินสาหร่ายสีแดงจำนวนเล็กน้อยในปลายปีนี้ อาหารเสริมสามารถช่วยลดการปล่อยมลพิษจากอาการเรอของวัว ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดของรอยเท้าคาร์บอนในผลิตภัณฑ์นมมากกว่า 80%
เรื่องข้างต้น เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ Ben & Jerry’s กำลังดำเนินการในโครงการนำร่องกับ 15 ฟาร์ม ใช้ชื่อว่า Project Mootopia โดยมุ่งเป้าไปที่ผลกระทบต่อสภาพอากาศ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของบริษัทมากกว่าครึ่งมาจากส่วนผสมจากนมที่บริษัทซื้อ
บริษัทไอศกรีมได้ทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เพื่อพัฒนาตามคอนเซ็ปต์เน้นความยั่งยืนตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงการขอให้เกษตรกรนำแนวทางปฏิรูปการเกษตรมาใช้ เช่น การปลูกพืชคลุมดิน ซึ่งอาจช่วยกักเก็บคาร์บอนในดินได้มากขึ้นเจนน่า อีแวนส์ ผู้จัดการด้านความยั่งยืนระดับโลกของ Ben & Jerry’s กล่าวว่า แม้ลงมือทำเหมือนเป็นโครงการนำร่องแล้ว แต่บริษัทยังไม่สามารถติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มโคนมอย่างเป็นรูปธรรมได้จริง
“ความท้าทายเรื่องหนึ่ง คือ ไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาดี ๆ เลย ในการจัดการกับก๊าซมีเทนที่วัวทำให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติตอนเรอ แต่ก็มีสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง บริษัทอย่าง Blue Ocean Barns กำลังทำงานร่วมกับแบรนด์ในการทดลองใช้สาหร่ายทะเลที่จะเริ่มต้นใช้ปลายปีนี้ และจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใหม่ที่อาจสร้างความแตกต่างได้”
โครงการนำร่องนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มลงครึ่งหนึ่ง โดยทำในเวอร์มอนต์และเนเธอร์แลนด์ ใกล้กับโรงงานไอศกรีมของ Ben & Jerry ในยุโรป บริษัทกำลังช่วยเกษตรกรนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ เช่น เครื่องย่อยก๊าซมีเทน ซึ่งใช้แบคทีเรียในกระบวนการผลิตมีเทนจากมูลสัตว์ ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยมลพิษที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งจากผลิตภัณฑ์นม และผลิตทั้งปุ๋ยและไฟฟ้าที่สามารถขายคืนให้กับกริดไฟฟ้าของรัฐเวอร์มอนต์
แม้ว่าบริษัทจะไม่จ่ายเงินเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ แต่กำลังจ่ายเงินให้เกษตรกรสำหรับบริการ “การทำลายก๊าซมีเทน” หรือผลประโยชน์ที่แบรนด์จะได้รับเมื่อคาร์บอนฟุตพริ้นท์ลดลง นอกจากนี้ยังช่วยให้เกษตรกรได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคเพื่อทำการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น ที่ปรึกษาด้านพลังงานกำลังคำนวณระยะเวลาคืนทุนสำหรับการลงทุนในอุปกรณ์ใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังช่วยฟาร์มติดตั้งพลังงานหมุนเวียนใหม่ เปลี่ยนแปลงพื้นที่ของพวกเขาเพื่อรองรับความหลากหลายทางชีวภาพ และเพิ่มการผลิตอาหารสัตว์ในท้องถิ่น เพื่อให้มีการขนส่งธัญพืชจากระยะทางไกลๆ ไปยังฟาร์มน้อยลง“เรากำลังทำงานร่วมกันอย่างจริงจังกับฟาร์มต่างๆ เพื่อดูว่าสิ่งใดได้ผล เพราะเราไม่รู้ว่า ถ้ามองมุมการลงทุนแล้ว อะไรจะยังคงใช้ได้ หรือสมเหตุสมผล” อีแวนส์กล่าว การเปลี่ยนแปลงจะใช้เวลา เช่น สาหร่ายอาหารเสริมสำหรับวัว ยังไม่มีจำหน่ายอย่างแพร่หลาย แม้ว่าเพิ่งได้รับการอนุมัติให้ใช้ในแคลิฟอร์เนียโดยกรมอาหารและการเกษตรแห่งแคลิฟอร์เนีย และ Blue Ocean Barns กำลังขยายการผลิต ฟาร์มเวอร์มอนต์ที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปลายปีนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการสาธิตเชิงพาณิชย์”
(แม้ว่างานวิจัยชิ้นหนึ่งจะตั้งคำถามถึงความปลอดภัยในการใช้สาหร่ายโดยอ้างว่าโบรโมฟอร์มที่มีอยู่ปนเปื้อนลงในน้ำนมได้ อีแวนส์กล่าวว่าการศึกษานี้ใช้สาหร่ายในปริมาณที่มากกว่าที่เกษตรกรจะใช้ และการศึกษาอื่น ๆ ได้ข้อสรุปว่าปลอดภัย)
โซลูชันต่างๆ ในโครงการนำร่องทั้งหมด ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากผลิตภัณฑ์นมได้โดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่อีแวนส์กล่าวว่าจำเป็นสำหรับบริษัทในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศตามหลักวิทยาศาสตร์“เราไม่สามารถไปซื้อคาร์บอนส่วนเกินจากโครงการป่าไม้ในปานามาที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำไอศกรีมมาใช้ จะต้องลดคาร์บอนจากห่วงโซ่อุปทานไอศกรีมของเราโดยตรง” เธอกล่าว
ขณะที่โครงการนำร่องจะดำเนินไปตลอดในช่วง 2 ปีจากนี้ บริษัทวางแผนที่จะขยายโซลูชันที่ใช้ได้กับฟาร์มที่เหลือในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะแบ่งปันวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้กับผู้อื่นในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นม
“เราต้องการทำโครงการนี้ให้โปร่งใสจริงๆ เพื่อให้แบรนด์อื่นๆ เรียนรู้พร้อมๆกันไปได้ขณะที่เรากำลังเรียนรู้ และเพื่อที่เราจะนำการปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จมาใช้ และทำให้ทุกอย่างคืบหน้าไปเรื่อยๆ” อีแวนส์กล่าวในท้ายที่สุด
ที่มา