28 สิงหาคม 2565…ความบ้าคลั่งของการเดินทางในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เห็นชัดจากความโกลาหลในวันหยุดพักผ่อนทุกแบบ ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดแคลนพนักงานทั้งที่สนามบิน สายการบิน และผลกระทบแบบโดมิโนของเที่ยวบินที่ล่าช้า
จากมุมมองด้านความยั่งยืน การเดินทางด้วยเครื่องบินเกิดปัญหาในปีแรกของโควิด ซึ่งเป็นหลักฐานว่าความต้องการเดินทางที่อั้นไว้ยังคงทําให้อารมณ์เสียมากกว่าปัญหาภาวะโลกร้อน
อันที่จริงคาร์บอนในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากการเดินทาง เที่ยวบินไปกลับจากโตรอนโตถึงทะเลแคริบเบียน สำหรับการพักผ่อน 2 คนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ทําให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเกือบ 2 ตัน เทียบกับการเดินทางด้วยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งปีผลิตคาร์บอนประมาณ 4-5 ตัน
ทว่า คาร์บอนฟุตพรินท์จากการบินไม่ได้ชะลอความต้องการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั่วโลกแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 โดยคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ ตลาดส่วนใหญ่เน้นการเที่ยวชมธรรมชาติ และการเดินทางในถิ่นทุรกันดาร จากการสํารวจในปีนี้โดย Booking.com 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้แผนการเดินทางของพวกเขาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2021
สำหรับภาคบริการในท้องถิ่น ที่ต้องเจ็บปวดกับปัญหาโควิด มีโอกาสลืมตาอ้าปากอีกครั้งเหมือนยุคเฟื่องฟูของ Airbnb ภาคส่วนนี้กำลังพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดจากพายชิ้นใหญ่ ด้วยการบอกว่าเป็นที่พักที่เน้นคุณสมบัติด้านความยั่งยืนด้วย โดยพยายามทำมากกว่าแค่แจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับวิธีจัดการผ้าขนหนูที่ใช้แล้ว
ช่วงต้นปีที่ผ่านมา Uswitch ผู้ให้บริการพลังงานในสหราชอาณาจักร ทำการจัดอันดับเมืองที่มีโรงแรมสีเขียวจํานวนมากที่สุดโดยพิจารณาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะต่างๆ รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า ป้ายบอกถึงการทำเรื่องความยั่งยืน (Sustainability badge) ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มของ Booking.com โดยกำหนดคุณสมบัติว่า “แต่ละโรงแรมต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอน การใช้น้ํา การบริโภคอาหารและของเสีย ค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสัตว์ และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ”
มีข้อมูลระบุว่า เมืองในแคนาดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแวนคูเวอร์ ทำเรื่องข้างต้นได้ดี ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเกือบทั้งเมืองใช้ไฟฟ้าผลิตจากพลังงานน้ํา ข้อมูลของ Uswitch ระบุว่า โรงแรมมากกว่า 40% ในแวนคูเวอร์ ได้รับ Sustainability badge ของ Booking.com โดยสตอกโฮล์มและโตรอนโตอยู่อันดับ 2 และ 3 ของโลก
หนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ในโตรอนโตที่อ้างถึงคือ 1 Hotel ซึ่งเป็นสถานที่หรูหราแห่งใหม่ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของ Starwood Capital Group ผ่านบริษัทย่อยที่เรียกว่า SH Hotels and Resorts ซึ่งมีโรงแรม 1 Hotel อีก 8 แห่ง ในหลายสถานที่ เช่น นิวยอร์ก เทนเนสซี และเซาท์บีช ฟลอริดา
Corinne Hanson ผู้อํานวยการสื่อสารองค์กรด้านความยั่งยืนของ SH กล่าวว่า
“Barry Sternlicht ผู้ก่อตั้ง Starwood ซึ่งก่อตั้งแบรนด์ 1 Hotel ต้องการสร้างสิ่งขับเคลื่อนความยั่งยืน ขับเคลื่อนภารกิจ ทั้งการออกแบบหลัก และการดําเนินงาน”
แฮนสันซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ดูแลงานด้าน ESG ของ Starwood ด้วย ให้ข้อมูลว่า บริษัทสรรรหาและสร้างอาคารสีเขียวในรูปแบบที่หลากหลาย โดยร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง Just Be Woodsy บริษัทในโตรอนโตที่นำเศษไม้จากต้นไม้ในเมืองที่ถูกตัดแล้ว มาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ แฮนสันกล่าวว่า 85% ของขยะของโรงแรมถูกนำไปรีไซเคิลและไม่ถูกฝังกลบ โดยมีเป้าหมายหลักคือ เป็นองค์กรไร้ขยะ
อย่างไรก็ตาม แฮนสันยอมรับว่า Starwood ในฐานะผู้จัดการสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผลการดําเนินงานด้านคาร์บอนต่อสาธารณะ แม้ว่า Home Page ของบริษัทจะประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าเป็นทั้งบริษัทที่เป็นกลางทางคาร์บอน และลงนามในหลักการการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ ขณะที่รายงาน ESG เชิงปริมาณฉบับแรกคาดว่าจะนำเสนอปีหน้า
ที่มา