28 ตุลาคม 2565…กว่า 55 ปีของการพัฒนาทำให้ “บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)”ช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า มีความปลอดภัยสูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต และเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนาคต
ชู ESG ขับเคลื่อนธุรกิจ
เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน
วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เบทาโกรให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ ด้วยการผสานความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ากับการพัฒนา เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่สูงกว่าสู่ผู้บริโภค ภายใต้กรอบการดำเนินธุรกิจ ตามหลัก ESG (Environment, Social, and Governance) ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมขับเคลื่อนนโยบายและทิศทางการดำเนินงานด้านความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (United Nations Sustainable Development Goals: SDGs) รวมทั้งการดำเนินธุรกิจด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการพัฒนาและออกแบบการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ดำเนินธุรกิจ
โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
เบทาโกรคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาว บริษัทฯ มีการบริหารจัดการน้ำ ของเสียและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดปริมาณการใช้น้ำในกระบวนการผลิต เพิ่มการนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการบำบัดน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ลดการเกิดของเสียที่แหล่งกำเนิด การส่งเสริมพนักงานให้คัดแยกของเสียก่อนทิ้ง รวมทั้งมีโครงการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อนำของเสียไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการปรับส่วนผสมของอาหารสัตว์เพื่อปรับปรุงการดูดซึมสารอาหารของสุกร ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกลิ่น นอกจากนี้ บริษัทฯ เลือกใช้พลังงานทดแทนจากเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มากกว่า 35 สถานประกอบการทั่วประเทศ ซึ่งสามารถผลิตพลังงานสะอาดได้กว่า 40 เมกะวัตต์ สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่า 22,000 ตัน ช่วยประหยัดต้นทุนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้พร้อมกัน
“เราได้ติดตั้ง Solar rooftop ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 2.8 MW ที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งที่ 3 จังหวัดลพบุรี นับเป็นโรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก ที่สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการดำเนินงาน ในช่วงเวลากลางวันได้ถึง 100% และมีแผนที่จะขยายขอบเขตการประเมินการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือคาร์บอนฟุตพรินต์ไปยังผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ ให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจอาหาร และอาหารสัตว์” วสิษฐ กล่าว
ร่วมสร้างรากฐาน
“สังคมเข้มแข็ง” มุ่งสู่ความยั่งยืน
นอกจากการให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตแล้ว เบทาโกรเชื่อว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ ต้องพัฒนาชุมชนและสังคมให้เติบโตไปพร้อมกัน ดังนั้น บริษัท จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ที่มีการดำเนินธุรกิจ ตามแนวทางการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (Holistic Area-based Community Development) ให้มีความเข้มแข็งทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม สังคม และการศึกษา โดยร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และสถาบันการศึกษา ร่วมวางแผนแม่บทการพัฒนาชุมชนที่เรียกว่า “โมเดลช่องสาริกา” เพื่อสร้างชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง พร้อมกับสนับสนุนให้เกิดจิตอาสา สำนึกรักในบ้านเกิดต่อยอดการเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น สร้างชุมชนและสังคมคุณภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
อีกทั้งยังได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดตั้งธนาคารพัฒนาหมู่บ้าน ณ ตำบลช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โครงการครัวคุณภาพ มุ่งยกระดับมาตรฐานด้านโภชนาการ และสุขอนามัยแก่ครัวโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง โครงการอนุรักษ์และขยายพันธุ์ไก่ป่า เพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โครงการปลูกป่าชุมชน โครงการเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ โรงงงานอาหารสัตว์ ที่จังหวัดนครราชสีมา ได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น ระบบ MES (Manufacturing Execution System) และระบบ DCS (Distributed Control System) เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการด้านการผลิต นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตแล้ว ยังเป็นการพัฒนาทักษะแรงงานและการสร้างงานในพื้นที่ รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
ขับเคลื่อนธุรกิจโปร่งใส
ด้วยบรรษัทภิบาล
เบทาโกรให้ความใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อให้ได้อาหารคุณภาพที่ปลอดภัยส่งถึงผู้บริโภค เพราะอาหารเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้น ภายใต้มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร (Betagro Quality Management: BQM) ในกระบวนการผลิต ร่วมด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของอาหารในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าและผลิตภัณฑ์ (Betagro E-Traceability System) ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับในกระบวนการอาหารได้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ได้ว่า ทุกผลิตภัณฑ์ของเบทาโกรเปี่ยมด้วยคุณภาพ ความปลอดภัยในระดับมาตรฐานสากล
วสิษฐ กล่าวเสริมว่า การควบคุมคุณภาพการผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยเป็นหนึ่งในเรื่องที่เบทาโกรให้ความสำคัญเป็นลำดับสูงสุด โดยเฉพาะความปลอดภัยทางชีวภาพเบทาโกร (Betagro Biosecurity Management) เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคในปศุสัตว์ โดยมุ่งเน้นการจัดการในแบบองค์รวม ทั้งสุขภาพของสัตว์และสภาพแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง และผลิตภัณฑ์ S-Pure ของเบทาโกร ยังเป็นแบรนด์แรกของโลก และของไทยที่ได้รับการรับรอง “การเลี้ยงโดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ (Raise Without Antibiotics – RWA)” โดย “NSF International” ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่อุปทานได้ในทุกขั้นตอนของการผลิต
สานต่อพันธกิจ
การดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
ขณะที่เบทาโกรมุ่งยกระดับ Ecosystem ร่วมสร้างคุณค่ากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนให้เติบโตไปพร้อมกัน ด้วยการดำเนินธุรกิจที่มุ่งตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยให้ความสำคัญกับ 4 เป้าหมายที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้แก่ การขจัดความอดอยาก สร้างความมั่นคงทางอาหาร (Zero hunger) การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน (Good health and Well-being) การสร้างรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน (Responsible consumption and production) และการผสานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Partnership for the goal)
พร้อมกันนี้ มีการดำเนินธุรกิจด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในการพัฒนาและออกแบบการใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมพลังงานสะอาด ได้แก่ การใช้พลังงานทดแทนจากเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับอาคารและโรงงาน การจัดการของเสียด้วยการใช้พลังงานจากชีวมวล จากการผลิตปศุสัตว์ และการลดขยะจากบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วทิ้งในสำนักงานและกระบวนการผลิต ส่งเสริมให้มีการประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์อีกด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญที่จะนำเบทาโกรก้าวไปสู่การเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน