7 กรกฎาคม 2566…ผนึก Avantium เนเธอร์แลนด์ นำก๊าซ CO2 มาผลิตพอลิเมอร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นลบพร้อมเตรียมพัฒนาโรงงานนำร่อง ป้อนตลาดโลก และ จับมือบริษัทญี่ปุ่น IHI เล็งสร้างโรงงานต้นแบบ ทดลองเทคโนโลยีดักจับ CO2เพื่อเปลี่ยนเป็นโอเลฟินส์เบา
ดร.สุรชา อุดมศักดิ์ รองผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC เปิดเผยว่า
“SCGC มีแนวทางการพัฒนานวัตกรรมที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) รวมไปถึงการพัฒนา นวัตกรรมรักษ์โลก (Green Innovation) เช่น พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายใต้แบรนด์ SCGC Green Polymer และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ด้านคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) และเทคโนโลยีในการลดคาร์บอน (Decarbonization) โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 20% ของปีฐาน 2564 ภายในปี 2573 และมุ่งหน้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งนี้ SCGC ได้เร่งพัฒนานวัตกรรมร่วมกับองค์กรและสถาบันชั้นนำต่าง ๆ ของโลก”
ล่าสุด SCGC ได้ร่วมกับ Avantium จากเนเธอร์แลนด์ พัฒนาพอลิเมอร์ PLGA (polylactic-co-glycolic acid: PLGA) หรือ พอลิเมอร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นลบ (carbon-negative plastic) โดยนำเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้เป็นสารตั้งต้น รวมทั้งไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ยังพบว่า พอลิเมอร์ PLGA ซึ่งมีส่วนผสมของกรดแลคติกและไกลโคลิค นอกจากจะมีประสิทธิภาพที่ดีมีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันออกซิเจน ความชื้น และรีไซเคิลได้นั้น ยังสามารถย่อยสลายได้ทั้งในสภาวะธรรมชาติ และในทะเลอีกด้วย ซึ่งตอบโจทย์ทั้งภาคอุตสาหกรรมและการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“SCGC เป็นองค์กรนวัตกรรมที่ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้สำเร็จ การร่วมมือในครั้งนี้เสริมให้การพัฒนาพอลิเมอร์ PLGA เป็นไปได้ในอนาคต โดยมีเทคโนโลยี Volta ที่สามารถเปลี่ยน CO2 ให้เป็นพอลิเมอร์ด้วยการใช้กระแสไฟฟ้า มีคุณสมบัติพิเศษในการป้องกันออกซิเจนและความชื้น สามารถรีไซเคิลได้ พร้อมนำไปเป็นวัตถุดิบในการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนต่อไป คาดว่าจะมีลูกค้าที่สนใจในเรื่องนี้มาร่วมเป็นพันธมิตรมากขึ้น” Tom van Aken, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Avantium กล่าว
SCGC และ Avantium ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการผลิตเคมีภัณฑ์ และสารตั้งต้นจากวัตถุดิบที่ยั่งยืน เช่น คาร์บอนจากพืช และคาร์บอนจากอากาศ โดยร่วมกันพัฒนานวัตกรรมพอลิเมอร์ PLGA หรือ พอลิเมอร์คาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นลบ และได้ทำการทดสอบการขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ โดย Norner AS ศูนย์วิจัยและพัฒนาพลาสติกระดับโลก ประเทศนอร์เวย์
ขณะเดียวกัน SCGC ร่วมกับ ไอเอชไอ (IHI) บริษัทชั้นนำประเทศญี่ปุ่น ผู้ผลิตเครื่องจักรในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าและก่อสร้างขนาดใหญ่ ศึกษาและสร้างโรงงานต้นแบบ (Pilot Plant) เพื่อทดสอบเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Dioxide Capture and Utilization (CCU) เพื่อเปลี่ยนเป็นโอเลฟินส์เบา บรรเทาปัญหาวิกฤตการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) สะท้อนการดำเนินธุรกิจด้วย ESG (Environmental, Social and Governance) อย่างเป็นรูปธรรม
ความร่วมมือในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (New Energy and Industrial Technology Development Organization: NEDO) หน่วยงานภาครัฐบาล ทดสอบเทคโนโลยี CCU เพื่อดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากกระบวนการผลิต มาทำปฏิกิริยาเคมีกับไฮโดรเจน จนได้มาเป็นโอเลฟินส์ตัวเบา และสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอื่น ๆ ให้สามารถหมุนเวียนนำมาใช้ในกระบวนการผลิต และช่วยลดปริมาณการใช้วัตถุดิบแนฟทาได้อีกทางหนึ่ง ช่วยลดการปล่อย CO2ออกสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่ง SCGC สามารถใช้เป็นวัตถุดิบทางเลือกในอนาคตต่อไป โดยจะทำการศึกษาความเป็นไปได้และเชื่อมต่อระบบกับโรงงานผลิตโอเลฟินส์ปัจจุบันในกลุ่มธุรกิจ SCGC ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2567 และทำการทดสอบจนถึงปี 2569
SCGC พัฒนาอย่างยั่งยืน ขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20% ของปีฐาน 2564 ภายในปี 2573 และตั้งเป้าปริมาณการขายสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ SCGC Green Polymer เป็น 1 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573 ซึ่ง SCGC ดำเนินงานด้วยแนวทาง “Low Carbon Low Waste” ได้แก่ การปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการและอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงขึ้น การใช้พลังงานสะอาดทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาและลงทุนในเทคโนโลยีที่ไม่ปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ การนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ตลอดห่วงโซ่คุณค่า และกิจกรรมชดเชยคาร์บอน (carbon offset) เช่น การปลูกป่าในพื้นที่ลักษณะต่าง ๆ รวมถึงป่าชายเลน