21-22 ตุลาคม 2566…การศึกษาใหม่โดย Magna, Teads และ Project Drawdown ยืนยันว่าผู้บริโภคพึ่งพาแบรนด์เพื่อสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน จับต้องได้ และน่าดึงดูด ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการดำเนินการที่สำคัญ เพื่อนำทางพวกเขาไปสู่ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้น
MAGNA หน่วยงานด้านการลงทุนและข่าวกรองของ IPG Mediabrands เผยแพร่การศึกษาที่ดำเนินการร่วมกับ Project Drawdown และแพลตฟอร์มโฆษณาแบบหลายช่องทางบนคลาวด์ Teads เพื่อทำความเข้าใจมุมมองของผู้บริโภคเกี่ยวกับความยั่งยืนให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับอุปสรรคอย่างต่อเนื่องที่ขัดขวางไม่ให้วิถีชีวิตที่ยั่งยืนมีมากขึ้น
MAGNA สำรวจผู้คน 9,112 คนในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และจัดสนทนากลุ่ม 5 แห่งในสหรัฐอเมริกา ควบคู่ไปกับการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้จาก Sustainable Brands®และ Deloitte เกี่ยวกับอุปสรรคที่พบบ่อยที่สุดที่ผู้บริโภคยอมรับต่อพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ( ค่าใช้จ่ายและขาดการเข้าถึง )
การศึกษาพบว่าแม้มีอุปสรรคเหล่านี้ ผู้คนยังคงมีแรงบันดาลใจเพื่อให้แน่ใจว่าพฤติกรรมที่ดีจะมีขึ้นในอนาคต — โดย 99 % ยอมรับว่าพวกเขาสามารถมีแรงจูงใจทำตามแนวทางความยั่งยืนได้
ดร.โจนาธาน โฟลีย์ กรรมการบริหารฝ่ายบุกเบิกโครงการกล่าวว่า “วิกฤตสภาพภูมิอากาศส่วนหนึ่งเป็นวิกฤตการสื่อสาร เรามีวิธีแก้ปัญหาที่สามารถใช้พลิกสถานการณ์ แต่เรายังเหมือนเป็นไปไหนไม่ได้ ทั้งจากข้อมูลผิดๆ ความกลัว และการขาดความตั้งใจลงมือทำจริง เราต้องการวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและน่าดึงดูดเพื่อก้าวไปข้างหน้า วิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่ดีกว่า ที่ซึ่งเรามาร่วมกันหยุดปัญหาภภาวะโลกรวน และสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคนที่คิดว่าสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้”
การค้นพบที่สำคัญตอกย้ำความจำเป็นที่แบรนด์ต่างๆ จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนา โดย 77% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาต้องการให้แบรนด์มีจุดยืนในเรื่องความยั่งยืน นอกจากนี้ 75% ค่อนข้างเห็นด้วยหรือเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า หากแบรนด์ดำเนินการอย่างมีความหมายต่อความยั่งยืน ก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม และ 35% จะได้รับแรงจูงใจให้ดำเนินการหากพวกเขาเห็นว่าแบรนด์อื่นๆล้วนทำในสิ่งเดียวกัน
การศึกษายังจัดอันดับว่าช่องทางใดที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากกว่าเมื่อได้รับข้อความเกี่ยวกับความยั่งยืน 66% ตอบว่าการโฆษณาเป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุด ตามมาด้วยโซเชียลมีเดีย (62%) จดหมายข่าว (57%) อินฟลูเอนเซอร์ และ Brand Presenter (52 %)
แต่การโฆษณาเองก็กำลังตกเป็นประเด็นร้อนเช่นกัน ต้องขอบคุณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น Scope3และ Ad Net Zero ได้เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้แน่ใจว่าผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของผู้ส่งสารจะไม่บ่อนทำลายข้อความแสดงความยั่งยืนอีกต่อไป
“แนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจ พร้อมด้วยนวัตกรรม ความโปร่งใส และข้อมูลที่สำคัญสำหรับแบรนด์ต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว” Neala Brown รองประธานอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์และข้อมูลเชิงลึกของ Teads กล่าวเสริม “ขณะที่แบรนด์ควรคลายความลังเลของลูกค้าต่อการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน และให้การโฆษณาเป็นช่องทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการส่งข้อความนั้น เรากำลังทำงานร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ของเราไปพร้อมๆ กัน เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทางดิจิทัล ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน และสื่อผ่านความสัมพันธ์ของผู้เผยแพร่โดยตรง”
นับจากนี้ไป นอกเหนือจากการควบคุมผลกระทบทางกายภาพจากการผลิตโฆษณาแล้ว แบรนด์ต่างๆ ควรมุ่งเน้นไปที่การส่งข้อความในสองแง่มุม:
ความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ — ด้วยความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นและการตรวจสอบคำกล่าวอ้างด้านความยั่งยืนและความอ่อนไหวต่อการฟอกเขียว แบรนด์ต่างๆ จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทั้งทีมสื่อสาร และผู้สร้างเนื้อหา ที่พวกเขาร่วมงานด้วยมีความเชี่ยวชาญและมั่นใจในความถูกต้องของคำกล่าวอ้างที่พวกเขาดำเนินการ
กลุ่มประชากรเป้าหมายที่กว้างขึ้น – แบรนด์ต่างๆ จะจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งข้อความโดยอัตโนมัติ เมื่อพวกเขาตั้งสมมติฐานว่ากลุ่มประชากรใดมีส่วนร่วมในหัวข้อเรื่องความยั่งยืนได้ง่ายกว่า ด้วยการพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่างรอบคอบมากขึ้น และพัฒนาและทำการตลาดทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับผู้บริโภค ทุกคน ไม่ใช่แค่ ผู้บริโภคที่คิดว่าจะเคลื่อนไหวได้ง่ายที่สุดจากการกล่าวอ้างเรื่องความยั่งยืนเท่านั้น แบรนด์ต่างๆ จึงสามารถรับประกันอิทธิพลและผลกระทบในวงกว้างได้มากขึ้น
ที่มา
ที่มาภาพเปิดเรื่อง คลิก