12 มิถุนายน 2567…กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EU Deforestation-free Regulations: EUDR) คือ กฎหมายที่เกี่ยวกับลดการผลิตและการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดไม้ทำลายป่า และทำให้เกิดความเสื่อมโทรมของป่า โดยมีผลบังคับใช้ในสินค้า 7 ชนิด ได้แก่ วัว กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมันยางพารา ไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้
มาตรการ EUDR จะมีผลในทางปฏิบัติ วันที่ 30 ธ.ค. 2567 สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ใน EU และในระยะต่อมาจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SME) ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2568 อย่างไรก็ดี แม้ในระยะแรกของมาตรการจะเริ่มบังคับใช้ในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ทำธุรกิจใน EU แต่ในมุมมองของประเทศต้นทางที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าทั้ง 7 ชนิด ไปยัง EU มาตรการดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกทุกรายในทุกขนาดธุรกิจ ยางพาราเป็นสินค้าส่งออกที่ไทยมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดาสินค้า 7 ชนิด เนื่องจาก
ยางพาราเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปยัง EU มากที่สุดในบรรดาสินค้า 7 ชนิด โดยมีมูลค่ากว่า 93.4% ของมูลค่าการส่งออก ที่สำคัญภายใต้มาตรการ พื้นที่ปลูกยางพาราไทยที่ตรงตามหลักเกณฑ์ของมาตรการ EUDR ยังมีน้อย
Krungthai COMPASS ประเมินว่าผู้ประกอบการยางไทยอาจได้รับผลกระทบจากการส่งผ่านต้นทุนของผู้นำเข้าฝั่ง EU สูงสุดถึง 4.3% ของมูลค่าส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ คิดเป็นราว 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/ปี หรือราว 2,340 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลต่อปริมาณการส่งออกยางของไทยไป EU และภาพรวม หากไทยถูกระบุว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงในการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้
Krungthai COMPASS แนะนำผู้ประกอบการยางพาราควรเริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรการ EUDR เช่น มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมายที่ดิน รับซื้อยางพาราที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ควรเร่งขอรับรองมาตรฐานการจัดการป่าไม้และผลิตภัณฑ์จากป่าไม้จาก FSC หรือ PEFC เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันและช่วยลดอุปสรรคทางการค้า
อังคณา สิทธิการ และภวิกา กล้าหาญ นักวิเคราะห์จาก Krungthai COMPASS ฝาก Key Highlights สุดท้าย ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการ เช่น เร่งพัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ EUDR รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการยางของไทย ได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรระดับสากล