NEXT GEN

เกษตรอินทรีย์ยังไม่พอ Regenerative Farming คือคำตอบที่แท้จริง

21 ตุลาคม 2567…กับบางครอบครัวที่เป็นคนรุ่น 3 รุ่นพ่อแม่เป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ต่อสู้เพื่อมาตรฐานการรับรองเกษตรอินทรีย์ และคนรุ่นต่อมาก็สนับสนุนเรื่องเดียวกันมาตลอด เพราะเกษตรอินทรีย์ช่วยให้การเกษตรดั้งเดิมรุดหน้า แต่ก็พลาดส่วนสำคัญของสิ่งที่ดีกว่าสำหรับโลก นั่นคือ ผลลัพธ์ที่เน้นข้อมูลระยะยาว

พูดง่ายๆ คือ การรับรองเกษตรอินทรีย์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อวัดสุขภาพของดิน จึงไม่สามารถอธิบายระบบนิเวศการเกษตรในวงกว้าง หรือผลกระทบที่มีต่อโลกได้ครบถ้วน

ตัวอย่างเช่น มาตรฐานเกษตรอินทรีย์สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก กำหนดให้ส่วนผสมอาหารสัตว์ต้องไม่ใช้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GMO) สารกำจัดวัชพืชสังเคราะห์ ยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ย เมื่อเวลาผ่านไป เกษตรกรที่ปัจจุบันดูแลฟาร์มของครอบครัวอาจขาดการเชื่อมโยงระหว่างฟาร์ม ดิน และผลิตภัณฑ์

หรือคนรุ่นปู่สามารถทำนายฤดูใบไม้ผลิได้จากความอุดมสมบูรณ์ของดอกอัลมอนด์ เขาจะเก็บมะเขือเทศในสวน และพูดถึงคุณภาพดินในฤดูเพาะปลูก กล่าวโดยย่อ คือ เชื่อมโยงในแบบที่คนรุ่นหลังไม่มี เมื่อคนรุ่นหลังเข้ามาดูแล จึงต้องทำความเข้าใจ เพราะหากไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพดิน สังคมต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารอินทรีย์หรืออาหารทั่วไป เผชิญผลที่ตามมาของอาหารที่เป็นสารสังเคราะห์ ความหนาแน่นของสารอาหารต่ำกว่ามาตรฐาน และผลกระทบเชิงลบต่อดิน

 

ที่มา คลิกภาพ

ส่วนเกษตรฟื้นฟู (Regenerative Farming) จะไม่ทำให้ดินสูญเสียสารอาหาร เน้นใส่สิ่งที่ดีกลับคืนไป แนวทางฟื้นฟูจะกระทบต่อสุขภาพของดินและสารในดินโดยตรง

ข้อมูลเปรียบเทียบสุขภาพของดินและความหนาแน่นของสารอาหาร พบว่าเกษตรแบบฟื้นฟูมีสารอินทรีย์มากกว่าถึง 5 เท่า และคะแนนความสมบูรณ์ของดินสูงกว่าถึง 7 เท่า

นอกจากนี้ การศึกษาวิจัยและเอกสารเผยแพร่ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของแนวทางการจัดการการเลี้ยงสัตว์ที่ดี เป็นวิธีปรับปรุงความชื้นในดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ และการกักเก็บคาร์บอน รวมถึงลดการกัดเซาะ

รูปธรรมที่เกิดขึ้น คือ เกษตรกรบางรายได้เห็นหญ้าที่ปลูกในฟาร์มหลากหลายขึ้นอย่างมากในแต่ละปี จากเดิมที่ปลูกหญ้าเพียง 2 สายพันธุ์ (ไรย์และฟ็อกซ์เทล) ครึ่งปีต่อมา พบหญ้ามากกว่า 6 สายพันธุ์

 

ภาพสร้างโดย AI

Regenerative Farming เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญในปรัชญาการทำฟาร์ม แนวทางดังกล่าวจะปรับให้เข้ากับพื้นที่ สถานที่ ฤดูกาล พืชผลหรือปศุสัตว์ และตัวแปรอื่นๆ ที่เฉพาะเจาะจงกับฟาร์มแต่ละแห่ง ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของดินและดินให้มีสุขภาพดีเมื่อเวลาผ่านไป ด้วยสิ่งต่างๆ เช่น การเลี้ยงสัตว์แบบผลัดเปลี่ยน การให้ทุ่งหญ้าได้พัก การหมุนเวียนพืช การปลูกพืชคลุมดิน ลดการไถพรวน (หรือไม่ไถพรวนเลย) ความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมาย

ไม่น่าแปลกใจที่การศึกษามากมายเน้นที่อินทรียวัตถุในดิน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเคลื่อนไหว เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกละเลยมากที่สุด และสำคัญที่สุดของการทำฟาร์มที่มีผลผลิต  ดินเป็นระบบนิเวศที่มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่เป็นศูนย์กลางของอนาคต

ส่วนการขยายผลกระทบให้เกินขอบเขตของเกษตรอินทรีย์ ปัจจุบัน เนื้อสัตว์ที่ขายในสหรัฐอเมริกาประมาณ 75% ถูกควบคุมโดยบริษัทเพียง 5 แห่ง กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ส่งเสริมวิธีทำฟาร์มของตนโดยอ้างว่าเป็น “ความมั่นคงทางอาหาร” แต่ทั่วโลกมีผู้คน 1 พันล้านคนกำลังหิวโหย และระบบนิเวศอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างหนัก

 

Diestel Family Ranch ที่มาคลิกภาพ https://diestelturkey.com/about/meet-the-family/

ที่ฟาร์ม Diestel Family Ranch ในฐานะผู้เลี้ยงไก่งวง พวกเขานำแนวทางการฟื้นฟูมาใช้ เช่น การปลูกต้นไม้ หญ้า และไม้พุ่มดอกเกือบ 2 ไมล์ในฟาร์ม ซึ่งเพิ่มประโยชน์ได้อย่างยอดเยี่ยม จากนั้นยังเชื่อมต่อกับฟาร์มข้าวโพดและถั่วเหลืองฟื้นฟูที่ได้รับการรับรองจากบุคคลที่สาม เพื่อจัดหาอาหารสำหรับนกที่ผลิตด้วยผลลัพธ์ทางนิเวศน์วิทยาที่วัดได้

พวกเขาผสมผสานการใช้เกษตรอินทรีย์ดั้งเดิม กับ Regenerative Farming จนเกิดประโยชน์สูงสุด การใช้มาตรฐานอินทรีย์กระตุ้นผู้บริโภคและผู้ผลิตคิดอย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น เกี่ยวกับผลกระทบของการผลิตอาหารต่อสุขภาพของมนุษย์และสวัสดิภาพของสัตว์ ส่วน Regenerative Farming กำลังทำสิ่งเดียวกันเพื่อสุขภาพสิ่งแวดล้อม

Regenerative Farming ยึดหลักการจัดการที่ดินที่รับผิดชอบและสร้างสรรค์ เป็นมาตรฐานที่วัดและตรวจสอบโดยบุคคลที่สามที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นอิสระ เป็นมาตรฐานที่คุ้มทุนเมื่อขยายขนาด ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นทั้งจากผู้ผลิต เกษตรกร และผู้บริโภค

ที่มา

 

You Might Also Like