11 มีนาคม 2564 …เอไอเอส ในฐานะ Digital Service Provider มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่ตั้งอยู่บนแนวคิดความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเข้าไปสนับสนุนเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแก่ทุกภาคส่วน
อราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายขับเคลื่อนนวัตกรรม เอไอเอส กล่าวถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI จากเสียงภาษาไทยเป็นครั้งแรกของประเทศ ระหว่างเอไอเอส และ AIResearch เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อร่าง Ecosystem ในแวดวง Deep Tech ในประเทศไทย ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
“ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เรียกว่าการทำ Digitalization ของแต่ละองค์กรไม่เพียงเป็นการ Transform Business Process ต่าง ๆ ให้คล่องตัวและดียิ่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย แต่บริษัทใดที่สามารถนำ AI เข้ามาผนวกได้ จะสร้างโอกาสในการเป็น Top Performing ได้มากกว่าถึง 4 เท่า วันนี้เราพัฒนาจำแนกอารมณ์จากเสียงพูดภาษาไทย หรือ THAI SER ร่วมกับ AI Research ทำให้องค์กรที่นำไปใช้ มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น”
อราคิน กล่าวต่อเนื่อง การคิดต่างเป็นเรื่องที่สำคัญมาก วันนี้เอไอเอสพร้อมที่จะร่วมมือกับพันธมิตร องก์กรต่าง ๆ เพื่อแบ่งปันข้อมูลให้คู่ค้า และเพื่อนร่วมธุรกิจได้นำ THAI SER ไปใช้ต่อยอดและสร้างอะไรบางอย่างที่สามารถพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นได้ทัดเทียมกับนานาชาติ โดยเชื่อมั่นว่าความเชี่ยวชาญความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยจะเป็นจุดเชื่อมโยงผลักดันให้ผลงานต่าง ๆ ของนักวิจัยไทย เป็นที่จดจำและยอมรับในสายตาโลกได้
“โครงการนี้จะทำให้ประเทศไทยมีแพลตฟอร์มที่เป็นภาษาไทย ซึ่งจะทำให้องค์กรไทยสามารถต่อยอดธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว การที่เอไอเอสเข้าไปร่วมกับพันธมิตรหลายองค์กรเพื่อสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา จะเป็นลักษณะที่ทุกองค์กรสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปพัฒนาต่อยอดตามบริบทขององค์กรตนเองได้ วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครื่องมือในลักษณะนี้จะช่วยทำให้องค์กรต่าง ๆ ที่กำลังพยายามหาทางออกและใช้ Digital มาเป็นเครื่องมือที่จะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้”
Thai SER จะเป็น SER Dataset ภาษาไทยชุดแรกของประเทศไทยที่เป็น Monolingual อันดับที่ 3 ของโลก โดย Original Dataset ผ่านการอัดใหม่โดย Studio ใหญ่ที่สุดในโลก ความยาวประมาณ 40 ชม. (28,000 ประโยค) ด้วยนักแสดง 200 คน ชาย 87 และ หญิง 113 คน
ซันเจย์ แอนดรูว์ โทมัส หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เอไอเอส กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยี AI ด้านภาษาถูกนำมาใช้งานอย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ ซึ่งมีประโยชน์มหาศาลในแง่ของการสร้างความเข้าใจลูกค้าในมุมมองด้านอารมณ์และความรู้สึก จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถประเมินสภาวะทางอารมณ์ของลูกค้า เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านงานบริการได้ดียิ่งขึ้น โดยพิจารณาจาก Customer insight ด้านอารมณ์ของลูกค้า ที่มาจากการให้บริการในด้านต่าง ๆ
ประโยชน์ที่เกิดขึ้นของโครงการนี้สำหรับเอไอเอส ในฐานะของภาคเอกชนสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้เพื่อพัฒนาตัวบริการซึ่งไม่ได้เจาะจงแค่ส่วนของ Customer Service Representative(CSR) หรือ ตัวแทนฝ่ายบริการลูกค้า แต่ในแง่ของ Marketing ก็สามารถทำให้เข้าใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นจากเสียงของเขา
ตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี ชุดข้อมูลจำแนกอารมณ์จากเสียงพูดภาษาไทย หรือ THAI SER ไปใช้งานจริงได้แก่
1. การวิเคราะห์อารมณ์ของลูกค้า จาก ‘เสียงพูด’
2. การจัดลำดับการให้บริการลูกค้าจาก ‘อารมณ์’ ของลูกค้า
3. มอบหมายสายลูกค้าให้กับ CSRตามความสามารถในการรับมืออารมณ์ต่าง ๆ
4. ฝึกสอน และเตรียมความพร้อมให้กับ CSR ในการปฏิบัติงานจริง
5. ช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าใจสถานการณ์ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
อราคินกล่าวต่อเนื่องว่า ขณะนี้ THAI SER พร้อมแล้วที่จะให้นักพัฒนา, กลุ่ม Startup, ผู้ประกอบการ SME, ผู้ให้บริการ และองค์กรต่าง ๆ เข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และนำแพลตฟอร์มนี้ไปต่อยอดในการออกแบบแอปพลิเคชันหรือโซลูชั่นต่าง ๆ ที่รองรับ AI ภาษาไทยมากขึ้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
ธุรกิจที่สามารถนำ THAI SER ไปใช้ได้จะมีตั้งแต่ธุรกิจ Media Tech,VDO Platform,Insurance Broker,Smart City,Smart Health โรงพยาบาล เป็นต้น
อราคินกล่าวในท้ายที่สุดว่า ประเทศไทยยังขาดบุคลากร Deep Tech ที่จะมาร่วมพัฒนานวัตกรรม สร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ผ่านมา ประเทศไทยแข่งขันกันมากจนเกินไป ถึงเวลาที่เราต้องรวมพลัง เพื่อแข่งขันกับต่างชาติมากขึ้น เอไอเอส ยินดีที่จะลงทุน แล้วพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเปิดให้สังคมไทยสามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ตามภารกิจของแต่ละองค์กร เช่นในกรณีของ THAI SER ที่เกิดขึ้นแล้ว
