20 กันยายน 2563…โลกผ่านจุดโต้แย้งมาแล้ว ในประเด็นที่ว่า Climate Change เป็นจริง และกิจกรรมต่างๆของมนุษยชาติก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดขึ้น การศึกษาล่าสุดยืนยันว่า เรื่องร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับโลกนั้นถูกต้องแน่นอน และทุกการศึกษาใหม่ ๆ ที่ออกมา มีแนวโน้มที่จะให้ภาพสถานการณ์เลวร้ายมากกว่าช่วงแรก ๆ
เวลาที่ต้องแก้ไขจริงจังมาถึงแล้ว และรีบดําเนินการกับทุกความเป็นไปได้ที่เคยรีรอทั้งหมดด้วย
1 ในโซลูชั่นยอดนิยมทีถูกนำเสนอก่อนหน้านี้ คือ การจัดเก็บภาษีคาร์บอนเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล วิธีนี้ดูเหมือนว่าเป็นทางออกที่เรียบง่าย แต่วิธีแก้ปัญหาใด ๆ เมื่อกลายเป็นประเด็น Climate Change แล้ว กลับมีความยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าที่ประเมินไว้
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ควรเรียนรู้ถึงความหมายของภาษีคาร์บอน ข้อดีข้อเสีย และศักยภาพที่จะเกิดขึ้น
ภาษีคาร์บอนคืออะไร?
ภาษีคาร์บอนเป็นค่าธรรมเนียมที่รัฐบาลเรียกเก็บกับบริษัท หรือองค์กรที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล มันไม่ใช่แนวคิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา และองค์กรไม่แสวงหาผลกําไรเช่น Climate Leadership Council พวกเขาเคยผลักดันโซลูชั่นทั้งแบบครบวงจร หรือบางส่วนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปัญหา Climate Change มาแล้วหลายปี
แต่เนื่องจากสังคมของเราลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมหาศาล ผลกระทบจึงจะยาวไกลเกินกว่าจะนึกถึง รวมถึงเคยมีการคัดค้านอย่างรุนแรงกลับมาด้วย อุตสาหกรรมใด ๆ ที่ใช้ถ่านหิน น้ํามันเบนซิน หรือก๊าซธรรมชาติล้วนได้รับผลกระทบ ไม่เพียง เท่านั้น อุตสาหกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า ก็ยังจะได้รับกระทบเช่นกัน
ภาษีคาร์บอนทํางานอย่างไร
วัตถุประสงค์ของภาษีคาร์บอนไม่ได้มีแค่ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล แต่เพื่อลงโทษบริษัท เพื่อให้ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายของพวกเขาด้วย ปัจจุบัน ทั้งประชาชนทั่วไป คนในแวดวงธุรกิจ รวมถึงรัฐบาล ล้วนเป็นผู้แบกรับต้นทุนทางการเงินของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ภาษีคาร์บอนจะปรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้กลับไปยังบริษัทที่เป็นผู้ใช้จริง
ดังนั้นก่อนที่จะนำภาษีคาร์บอนมาปรับใช้ให้เป็นรูปธรรม เรื่องแรก รัฐบาลต้องประเมินต้นทุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อตันให้ได้เสียก่อน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องยากเนื่องจากมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงิน รวมทั้งบรรดานักวิจัยเองก็ยังหาข้อสรุปวิธีคํานวณไม่ได้
ประมาณการดีที่สุดที่ได้ มาจากหน่วยงาน U.S. Interagency Working Group on Social Costs of Carbon พวกเขาคำนวณว่า ต้นทุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1 เมตริกตัน น่าจะอยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตามรายงานของสหประชาชาติพบว่า ต้นทุนที่แท้จริงควรสูงกว่า เพื่อป้องกันอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสในปี 2030 พวกเขาคาดว่าภาษีคาร์บอนจะต้องอยู่ระหว่าง 135 และ 5,500 เหรียญสหรัฐต่อตัน.
แต่ถ้าสมมติว่า ต้นทุนที่ 40 เหรียญสหรัฐถูกต้องแล้ว เราจะให้คำจำกัดความผลกระทบของการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้กันอย่างไร
ข้อดีและข้อเสีย
เงินจำนวน 40 เหรียญสหรัฐ อาจฟังดูไม่มาก อย่างไรก็ตาม แต่เพราะเราพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นหลัก แต่ละ 40 นี้ก็เพิ่มได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นเงินจำนวนมหาศาล
สําหรับผู้บริโภคเฉลี่ยทั่วไป อาจแปลงป็นการเสียเงินเพิ่ม 36 เซ็นต์ต่อน้ำมัน 1 ลิตร ซึ่งอาจจะคิดว่าไม่มาก แต่นั่นเป็นการคำนวณสั้น ๆ ง่าย ๆ จากนี้มาดูกันว่า ประโยชน์ของภาษีคาร์บอน คืออะไร ทําไมจึงมีผู้สนับสนุน
ข้อดี
ประโยชน์แรกและชัดเจนที่สุดคือ ด้วยการเพิ่มต้นทุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะลดปริมาณการใช้ลง
ทุกวันนี้ ผู้บริโภคจะถูกบังคับให้ใส่ใจกับการใช้พลังงานที่พวกเขาใช้มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อที่จะยังคงทํากําไร ด้วยเหตุนี้ จะคาดได้ว่าจะเห็นการลงทุนจำนวนมหาศาลกับเรื่องอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน โครงการก่อสร้าง และการขนส่ง
แต่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงได้เช่นกัน
มีคนจำนวนหนึ่งหวังว่า ขณะที่ยังไม่สามารถทำให้ธุรกิจลดทอนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกเขาจะยังสามารถกระตุ้นการลงทุนจำนวนมากให้เกิดขึ้นกับแหล่งพลังงานทางเลือกได้ โรงงานและคลังสินค้าต้องลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัท พลังงาน จำเป็นต้องสํารวจทางเลือกอื่นๆ นอกเหนือจากการเผาไหม้ถ่านหินหรือน้ํามัน
ภาษีคาร์บอนยังสามารถเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยแบ่งเบาต้นทุนการดําเนินงานบางส่วน ตัวอย่างเช่น สวีเดนปรับใช้ภาษีคาร์บอนในปี 1991 ในช่วงระยะเวลาที่กําหนด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 23% ขณะที่เศรษฐกิจเติบโต 55%
ในฐานะที่เป็นภาษี และเป็นแผน ภาษีคาร์บอนมีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ของรัฐบาลอย่างมีนัยสําคัญ สํานักงบประมาณรัฐสภา คาดว่า แม้ภาษีคาร์บอนอาจเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นมากกว่าล้านล้านเหรียญสหรัฐในช่วงสิบปีจากนี้ เงินจำนวนดังกล่าวสามารถนํามาใช้สนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ เช่น องค์กรอย่าง FEMA และโครงการประกันภัยน้ําท่วมแห่งชาติที่จัดการกับผลกระทบจาก Climate Change ในชุมชนโดยตรงได้อย่างดี
ข้อเสีย
บางที ข้อจำกัดใหญ่ที่สุดของภาษีคาร์บอนคือ ธรรมชาติที่ถดถอย เมื่อใดที่ต้นทุนของเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลใดก็ตาม, มันมักจะมีสมาชิกชุมชนผู้มีรายได้ต่ำเป็นผู้แบกรับภาระที่ไม่สมสัดส่วนนั้นด้วย
ครอบครัวผู้มีรายได้ต่ำ และคนทั่วไป ส่วนใหญ่นำรายได้ใช้จ่ายไปกับความจําเป็น เช่น น้ํามันเชื้อเพลิง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พวกเขายังไม่น่าจะสามารถเปลี่ยนไปใช้ยานพาหนะไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่าไม่มีทางเลือก กับการต้องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น.
เส้นทางสู่อนาคต
ตามที่เรากล่าวถึง น้ํามันเชื้อเพลิงไม่ใช่แค่สิ่งจําเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับผลกระทบ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหาร เสื้อผ้า และปัจจัยดำรงชีวิตพื้นฐานอื่น ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของชาวอเมริกันผู้มีรายได้ต่ำอย่างหนักหน่วง
ที่มีการตั้งสมมติฐานว่า ภาษีคาร์บอนถูกเรียกเก็บในระดับปานกลางที่ 40 เหรียญต่อตัน โดยไม่มีการยืนยันอย่างมีนัยสําคัญของสหประชาชาติ ในระยะเวลาสั้น ๆ ภาษีคาร์บอน ซึ่งปราศจากความช่วยเหลือที่มีนัยสําคัญต่อชุมชนที่เปราะบางอาจเป็นภัยต่อมนุษยชาติทั้งมวล
เป็นที่ชัดเจนว่า อนาคตของโลกจะต้องกลายเป็น Carbon-Neutral ซึ่งสุดท้าย เราต้องเตรียมพร้อมในการหาวิธีการกําจัดของเสียให้หมดไป บนแนวทางที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียนี้ บางทีอาจไม่มีแนวทางสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ต้องปรับใช้ให้เหมาะสมเท่านั้น
ที่มา