23 มีนาคม 2564…หุ้น Greentech ที่พุ่งสูงขึ้นได้นําไปสู่การถกเถียงกันว่า เราอยู่ในจุดสูงสุดของการปฏิวัติสีเขียว หรือฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์กันแน่ ในความเป็นจริง การตีความทั้งสองด้าน ถูกต้องชั่วคราว เพราะตอนนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะก้าวเข้ามาสร้างกฎระเบียบ โครงสร้างพื้นฐาน และตลาดที่จําเป็นหรือไม่
ภายหลังการเติบโตของราคาหุ้น Tesla สิบเท่าระหว่างเดือนมีนาคม 2020 ถึงมกราคม 2021 Elon Musk ผู้ก่อตั้งบริษัท เสมือนหนึ่งได้กลายเป็นอวตารของนวัตกรรมสีเขียว ปรากฏการณ์ Tesla ได้ขยายขอบเขตไปสู่แทบทุกส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการและนักลงทุนเอกชนก้าวเข้ามาทําในสิ่งที่รัฐบาลล้มเหลว นักวิจารณ์บางคนในขณะนี้เชื่อว่า “การปฏิวัติสีเขียว” อยู่ในมือ อย่างไรก็ตามคนอื่น ๆ กำลังมองภาพเดียวกัน เห็นสัญญาณเริ่มต้นของ “ฟองสบู่ของ Greentech”
การบูมของ Greentech (หรือ Cleantech) จริง ๆ แล้วมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับการบูมของแนวโน้มดิจิตอลก่อนหน้านี้ที่ส่งผลให้เกิดฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 มันเป็นที่พึ่งพาแรงภายนอกอย่างมากซึ่งอาจลดลงอย่างฉับพลันคือเป็นเงินที่เข้าเร็วออกเร็ว ในสภาพแวดล้อมทุกวันนี้ ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ มูลค่าปัจจุบันกระแสเงินสดในอนาคตสูงเกินจริงและจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
ทั้งนี้ สถานการณ์ล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐได้ตอบสนองต่อวิกฤต Covid-19 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ใกล้ศูนย์จนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะบรรลุสถานะ “การจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อสูงสุดเฉลี่ย 2%” แต่ด้วยประสิทธิภาพการบริหารวัคซีน Covid-19 อย่างรวดเร็วภายใต้การจัดการของประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ เวทีนี้จึงถูกกําหนดให้เป็นการฟื้นฟูตลาดทุน
ดังนั้น คําถามไม่ใช่อยู่ที่ว่า ฟองสบู่สีเขียวจะระเบิดหรือไม่ (เพราะที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเป็นฟอง (Bubble) อะไร ก็จะระเบิดเหมือนกันหมด) แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า มันจะระเบิดก่อนที่การปฏิวัติสีเขียวจะสร้างฐานที่มั่นคงหรือไม่ เงินทุนที่ระดมมามากมายในปัจจุบันจะสูญเปล่า หรือจะรวมเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น เพื่อเปลี่ยนการปฏิวัติให้เป็น New Normal หรือไม่?
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงในการจัดหาและการใช้พลังงาน เป็นที่มาของสิ่งที่มีเพียงรัฐสามารถจัดหาให้ได้ นั่นคือ : การลงทุนภาครัฐจำนวนมหาศาล ภาษีและกฎระเบียบใหม่ๆ ซี่งเราเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มากจากประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติดิจิตอลช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบมาแล้ว
ในการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ผู้ว่าการของแต่ละรัฐจะมีบทบาทเป็นผู้นํา โดยการสร้างภารกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายในแง่มุมทางการเมือง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายจํานวนมากในโครงการที่มีความเสี่ยงสูง ในทํานองเดียวกัน เป็นภาครัฐที่ต้องให้เงินทุนการลงทุนต้นน้ําในการวิจัยขั้นพื้นฐาน แก่งโครงการที่ผลตอบแทนยังมีศักยภาพไม่แน่นอนสูงพอที่จะกระตุ้นภาคเอกชน
ขั้นตอนสุดท้ายเริ่มต้น เมื่อบรรดานักลงทุนสามารถระบุศักยภาพการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ และระดมเงินทุนสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นเพื่อการปรับใช้ในวงกว้าง Bubble หรือฟองสบู่ที่มีประสิทธิผลอาจเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ โดยได้แรงผลักดันจาก Promise ของ New Economy
องค์ประกอบของรูปแบบนี้สามารถเห็นได้ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อนหน้านี้ ในศตวรรษที่นําไปสู่สงครามวอเตอร์ลูในปี 1815 ความต้องการปืนที่เพิ่มขึ้นของกองทัพอังกฤษ เป็นแรงผลักดันให้เกิด Productivity Gain (จากการทำ Mass Production และการจ้างแรงงาน) ที่ทําให้เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ กลายเป็น workshop ของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก
จากนั้นการปฏิวัติครั้งต่อมา รัฐสภาอังกฤษได้มอบอํานาจให้กับผู้ลงทุนเกี่ยวกับทางรถไฟ และการจำกัดความรับผิด ทํานองเดียวกัน ในสหรัฐอเมริกา การรับประกันและเงินอุดหนุนของรัฐ สนับสนุนเครือข่ายคลอง และทางรถไฟที่จําเป็นในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกับในสหราชอาณาจักร บรรดานักลงทุนทำตามสิ่งที่ภาครัฐดำเนินการไว้ก่อนหน้า
วันนี้ ภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ทำให้เกิดภารกิจ (mission) ที่มีขนาดและขอบเขตมากกว่าแม้แต่สงครามเย็น แต่การตอบสนองจนถึงตอนนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป็นเวลาหลายปีที่สหรัฐฯ เป็นอัมพาตจากการปฏิเสธความเป็นจริงของนักการเมืองรีพับลิกัน ซึ่งจบลงด้วยการถอนตัวจาก Paris Climate Agreement ในปี 2017 ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อไม่มีอเมริกา จีนพยายามก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเรื่อง Green Revolution โดยระดมทุนโครงการใหญ่ที่สุดในโลกสําหรับการวิจัยและพัฒนา Greentech และรักษาสถานะผู้นำการผลิตกังหันลมและแผงเซลล์แสงอาทิตย์ แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้นําจีนก็ยังพึ่งพาถ่านหิน และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ
ในส่วนของสหรัฐ มีความเชื่อว่า รัฐบาลควรมีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นหมายความว่า มีองค์ประกอบกว้าง ๆ สําหรับแผนของ ประธานาธิบดี Biden ที่จะ “สร้างสิ่งใหม่ให้ดีกว่าเดิม” โดยมีพิมพ์เขียวหรือ Blueprint เรียบร้อยแล้ว สำหรับสิ่งที่จําเป็นต้องมี
ความมุ่งมั่นของประธานาธิบดี Biden กําหนดขั้นตอนสําหรับรัฐบาลที่จะเติมเต็มชิ้นส่วนที่ขาดหายไปของการเปลี่ยนแปลงทั่วประเทศเกี่ยวกับกับพลังงานทดแทน, เริ่มต้นด้วยการจัดตั้งการจัดเก็บพลังงานแบบ Grid นอกจากนี้ยังจําเป็นต้องมีการจัดการกริดที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการสั่งการล่วงหน้าของแหล่งพลังงานเป็นระยะ ๆ การขยายกริดเพื่อทดแทนไฟฟ้าสําหรับระบบผลิตคาร์บอนในอาคารอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัย การขยายการเข้าถึงบรอดแบนด์ทั่วประเทศ และการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง เพื่อรองรับการทำเรื่อง lower-carbon mobility (รวมถึงสถานีชาร์จสําหรับรถยนต์ไฟฟ้า)
เมื่อได้เห็นความแตกต่างของผู้นําระดับชาติที่ทำให้การวัคซีนเกิดประสิทธิภาพสูง จึงเป็นไปได้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งของสหรัฐฯจะลงคะแนนเสียงข้างมากให้แก่พรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 เหมือนกับเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นในปี 1934 เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งรับรองกฎหมายฉบับใหม่ของ Franklin D. Roosevelt เช่นเดียวกัน ถ้ากฎหมายเรื่อง Green ฉบับใหม่เกิดขึ้น Greentech ก็จะบูม ส่วนจะเกิดฟองสบู่หรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ ก็จะทิ้งโลกเก่าไว้เบื้องหลัง
ที่มา…