3 กุมภาพันธ์ 2564…ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ เผย 5 เทรนด์เทคโนโลยีมาแรง ปี 2564 ชี้โควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ส่งผลให้โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมี เข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ 24 ชั่วโมงทั้ง 7วัน ซึ่งเทคโนโลยีจะเกี่ยวข้องต่อการพัฒนาดังนี้ บรรเทาสุขภาพจิตจากความเหงา ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไปในโลกการทำงาน ความปลอดภัยทางดิจิทัล และปัญหาโลกร้อน
บียอน ทาล แซนเบิร์ก (Bjørn Taale Sandberg) ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ หน่วยงานวิจัยภายใต้เทเลนอร์กรุ๊ป กล่าวว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ประชาคมทั่วโลกต่างรวมเป็นหนึ่งเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ไม่อาจจินตนาการได้ ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างเร่งปรับตัวปรับพฤติกรรมสู่ “วิถีชีวิตใหม่” โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน
ปีนี้ เป็นปี่ที่ 6 ที่ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ได้รวบรวมและวิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในปี 2563 และคาดการณ์แนวโน้มสำคัญที่จะเกิดขึ้นในปี 2564 ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 แนวโน้มสำคัญ
1.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้กลายเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้คนในสังคมโลกตื่นตัวกับประเด็นด้าน “ความยั่งยืน” ของโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในปัญหาแห่งศตวรรษที่โลกกำลังเผชิญก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
วิกฤตโควิด-19 ได้เร่งให้เกิดการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ลดการเดินทาง เกิด “วิถีชีวิตปกติใหม่” (New normal) ซึ่งศูนย์วิจัยเทเลนอร์ เชื่อว่า หน่วยงานรัฐจะอาศัยจังหวะนี้ในการสานต่อและผลักดันกระแสความยั่งยืน และเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานอย่างเข้มข้น และนั่นจะส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ งานวิจัยของ World Economic Forum ระบุว่า เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกได้ถึง 15%
นอกจากนี้ เราจะเห็นการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งผสานการใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานสะอาดอื่น ๆ เข้าด้วยกันมากขึ้น สามารถพยากรณ์แนวโน้มการใช้พลังงานของเมืองได้ ขณะเดียวกัน เราจะเห็นการใช้เทคโนโลยี TinyML หรือการเรียนรู้ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นจุดตัดของการเรียนรู้ของ IoT อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาวิชาวิศวกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ที่มีศักยภาพในการปฏิวัติอุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคต และนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้มีการประยุกต์ใช้ TinyMLในอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น เช่น โดรนถ่ายภาพเพื่อการสำรวจสภาพอากาศ ในภาคการเกษตร เราจะเห็นการใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยเกษตรกรทำงานได้อย่างแม่นยำ ลดการเกิดผลกระทบทางสภาวะแวดล้อม
“ตัวอย่างที่นอร์เวย์ ใช้เทคโนโลยีทำการเกษตรมากขึ้น หุ่นยนต์ตัวที่เห็นตัวนี้ใกล้บ้านผม ใช้แมชชีนดูไร่สตรอเบอร์รี่ หากพบว่าสตรอเบอร์รี่ต้นไหนพบเชื้อรา หุ่นยนต์จะพ่นยาเฉพาะต้นนั้น ๆ ไม่ใช่การพ่นยาทั้งแปลง ซึ่งจะช่วยให้การใช้สารเคมีลดลง ขณะเดียวกันหุ่นยนต์ตัวนี้ค่อนข้างเบา เวลาที่เดินบนดินจะไม่บีบอัดหน้าดินทำให้ดินเสียแบบการใช้รถแทรกเตอร์ หรือการใช้โดรนบินสำรวจในป่า ก็จะสามารถสำรวจต้นไม้ได้โดยการยิงลูกดอกปักบนต้นไม้เพื่อใช้ข้อมูลทางธรรมชาติได้ต่อไป”
พร้อมกันนี้ บียอน ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จของดีแทค ในแนวทางสร้างเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน โดยดีแทคจับมืออาซีฟานำเทคโนโลยี 5G คลื่น 26 GHz สู่กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและโรงงาน หรืออาคารที่ใช้ไฟฟ้าในธุรกิจขนาดใหญ่ด้วยรูปแบบ “5G โซลูชันบริหารพลังงานระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Energy Management)” พลิกรูปแบบการใช้งานตู้สวิตช์บอร์ดไฟฟ้า หรือ MDB (Main Distribution Board) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย 5G เผยเฟสแรก
2. เร่งการมาของ EdTech
จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของโลกพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ศูนย์วิจัยเทเลนอร์ มองว่า โลกจะได้เห็นเทคโนโลยีทางการศึกษาที่เข้ามาเติมเต็ม สร้างสรรค์ และทำให้การเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้วิกฤตการณ์โควิด-19 จะยุติลงในอนาคต ทำให้ความต้องการในตลาดของผู้บริโภคมีมากขึ้น ทั้งยังเป็นตัวเร่งของการเปลี่ยนผ่านภูมิทัศน์แห่งโลกการเรียนการสอนสู่โลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้นในอนาคต
แต่ก็เสมือนทางสองแพร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้น้อย ขณะที่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูงจะได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีกในอนาคตต่อจากนี้
3.การทำงานเข้าสู่ยุค Society-as-a-service
ให้พนักงานสามารถทำงานที่ใดก็ได้ ในอนาคต เราจะได้เห็นจุดให้บริการฟรีอินเทอร์เน็ต ห้องประชุมงานในที่สาธารณะหรือร้านกาแฟมากชึ้น หน่วยงานรัฐท้องถิ่นจำเป็นต้องเสริมพื้นที่ที่ให้บริการดังกล่าวมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ห้องสมุดสาธารณะ ซึ่งในความเป็นจริง แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว แต่ให้บริการโดยเอกชน เช่น ร้านกาแฟ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทเอกชนควรเพิ่มทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) สุขอนามัยทางดิจิทัล (Digital hygiene) ตลอดจนเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานแบบ Remote working อย่างไรก็ตาม การจะก้าวสู่โลกการทำงานแบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบได้นั้น สิ่งสำคัญคือการปรับวิธีคิดหรือ Mindset ของพนักงานให้สามารถปรับตัวและยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ ซึ่งบริษัทควรคำนึงถึงการเพิ่มพูนทักษะหรือ upskilling ทั้งในระดับองค์กรและบุคคล
4.เทคโนโลยีคลายความเหงา
ศูนย์วิจัยเทเลนอร์คาดว่า จะมีการพัฒนา eHealth หรือ การใช้เทคโนโลยีไอซีที เพื่อสนับสนุนการให้บริการด้านสุขภาพ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยี AR และ VR ผสานกับเทคโนโลยีฮาโลแกรม เพื่อให้เกิดสัมผัสเสมือนเมื่อมีการสื่อสารระหว่างกัน ซึ่งต่างจากการวิดีโอคอลในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เราจะได้เห็นการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อคลายความเหงามากขึ้น ซึ่งหุ่นยนต์ที่ว่านี้มีการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาประยุกต์ ทำให้หุ่นยนต์สามารถตอบโต้กับมนุษย์ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม การพูดคุย การสร้างความบันเทิง
5. ภาวะสมองเสื่อมจากดิจิทัล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พาสเวิร์ด” ที่ปัจจุบันผู้ให้บริการต่างกำหนดให้พาสเวิร์ดต้องมีการประสมตัวเลข เครื่องหมายและตัวอักษรที่ซับซ้อนมากขึ้น และจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ทุก 3 เดือน เพื่อเป็นการการันตีความปลอดภัยทางไซเบอร์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็นำมาซึ่งความปวดหัวทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร
ดังนั้น ศูนย์วิจัยเทเลนอร์จึงคาดการณ์ว่า บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จะมีการนำโซลูชั่นที่เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เอื้อให้ผู้ใช้งาน ใช้งานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงระดับความปลอดภัยอย่างเข้มข้นเช่นเดิม
บียอนกล่าวในท้ายที่สุดว่า การคาดการณ์ทั้ง 5 เทรนด์ดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นบทบาทของ Operator ที่มีความสำคัญต่อสังคม ตอกย้ำการเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานเข้าถึงได้ 24 ชั่วโมงตลอด 365 วัน