TALK

เอสซีจี ส่งนวัตกรรมธุรกิจ ESG ที่ใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยในวิกฤตโควิด-19

10 พฤษภาคม 2564…SD PERSPECTIVES พบการช่วยเหลือสังคมของเอสซีจี ในช่วงการระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน เป็นผลิตภัณฑ์แบบธุรกิจ ESG ในแบบฉบับของเอสซีจี

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวถึงการช่วยเหลือสังคมตลอดการระบาดของโควิด-19 ครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันแรกเมื่อปีที่แล้วถึงครั้งที่ 3 ขณะนี้อยู่ภายใต้ต้นแบบธุรกิจ ESG (Environmental, Social and Governance) แบบฉบับของเอสซีจีโดยใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่ช่วยขับเคลื่อน

นับตั้งแต่ส่งห้อง Modular Screening & Swab Unit (ห้องคัดกรองและตรวจผู้เสี่ยงติด #COVID19) และ Modular Bathroom (ห้องน้ำสำเร็จรูป)  ซึ่งใช้เทคโนโลยี SCG HEIM (เอสซีจีไฮม์) ให้หลายโรงพยาบาลตั้งแต่ปีที่แล้ว ต่อเนื่องด้วยความร่วมมือกับ AstraZeneca  มาถึงงานของ SCGP ผลิตเตียงสนามกระดาษ โดยใช้กระดาษรีไซเคิล 100%  โดยมูลนิธิเอสซีจีเป็นหน่วยงานส่งมอบให้กับโรงพยาบาลสนามที่ต้องการเตียง

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี

“ณ จุดนี้ ต้องให้ความสำคัญอย่างมากกับการเตรียมความพร้อม และสร้างโอกาสเพื่อการเติบโตในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG ในแบบฉบับของเอสซีจี คือ การใส่ใจสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการดูแลสังคม อย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งเอสซีจีดำเนินการอยู่แล้วภายใต้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อเร่งการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจร ทั้งด้าน Circular Economy, Medical & Healthcare และยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตสูง ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

บริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste)

รุ่งโรจน์ขยายความ การขยายการลงทุนตามแนวทาง ESG ที่เห็นชัดเจน คือ การลงนามในสัญญาซื้อหุ้นบริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจและผู้นำด้านพลาสติกรีไซเคิลในประเทศโปรตุเกส การลงทุนครั้งนี้ เอสซีจีและซีพลาสต์จะประสานการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 
รวมไปถึงการขยายตลาดในยุโรปและอาเซียน ซึ่งเอสซีจีมองว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก เนื่องจากความยั่งยืนเรื่องพลาสติกและการรีไซเคิลเป็นเทรนด์ที่ทั่วโลกกำลังมุ่งไป

ธุรกิจเคมิคอลส์

โรงงาน MOC Debottleneck ซึ่งธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี และ DOW ได้ร่วมมือกันดำเนินโครงการ

ที่มุ่งสู่การเป็น “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” นอกจากจะเน้นการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น (HVA) ยังเร่งการเข้าสู่ธุรกิจที่ตลาดมีการเติบโตสูง เช่น การประสานความร่วมมือกับซีพลาสต์ การขยายกำลังการผลิตของโรงงาน MOC Debottleneck ซึ่งธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี และ DOW ได้ร่วมมือกันดำเนินโครงการ และก่อสร้างแล้วเสร็จเร็วกว่าแผน ได้เริ่มทดลองดำเนินการผลิตแล้ว คาดว่าจะผลิตได้เต็มกำลังภายในเดือนพฤษภาคม 2564 นี้ จะทำให้มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้กระบวนการผลิตมีต้นทุนการลงทุนที่ต่ำลง ประหยัดพลังงาน รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Process) ด้วย

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

CPAC 3D และ Drone Solution ช่วยลดขยะจากงานก่อสร้าง ซึ่งปกติจะมีมากกว่า 30%

เน้นการนำเสนอสินค้า บริการ และโซลูชันครบวงจร ตอบโจทย์การก่อสร้างและการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ โซลูชัน Green Construction ของ CPAC ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการ

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง

ทั้ง 3 สิ่งล้วนใกล้ตัว และใช้ได้จริง

ก็ยังคงมุ่งพัฒนานวัตกรรมโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ล่าสุดได้พัฒนา OptiBreath® บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยคงความสดของผักผลไม้ให้นานขึ้น ลดการเน่าเสียและข้อจำกัดทางการขนส่ง และ Odor LockTM บรรจุภัณฑ์ที่ช่วยเก็บกลิ่นอาหาร เพื่อรองรับความต้องการของผู้ประกอบการและผู้บริโภคในฤดูกาลผลไม้นี้

หากลงลึกไปในรายละเอียด ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินค้าในกลุ่ม SCG Green Choice ที่ลดการใช้พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนยืดอายุการใช้งานของสินค้าให้ยาวขึ้น รวม 103 รายการ มีเป้าหมายจะขยายเพิ่มเป็น 135 รายการภายในปีนี้ โดยรายได้ของสินค้ากลุ่มนี้ อยู่ที่ 45,635 ล้านบาท คิดเป็น 37% ของรายได้จากการขายรวม

พลังงานทางเลือก(Alternative Fuel) ที่มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุนโยบายลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Zero Coal Initiative)

ส่วนความพยายามการลดใช้พลังงาน เอสซีจีได้เพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) สำหรับกระบวนการผลิต โดยในปี 2563 มีสัดส่วนการใช้เท่ากับ 88,125 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และในช่วงสองเดือนแรกของปี 2564 เท่ากับ 14,769 เมกะวัตต์–ชั่วโมง เช่นเดียวกับพลังงานทางเลือก (Alternative Fuel) ที่มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น เพื่อให้บรรลุนโยบายลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Zero Coal Initiative) โดยในปี 2563 มีสัดส่วนการใช้เท่ากับร้อยละ 14.3 ในขณะที่ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2564 มีสัดส่วนการใช้เท่ากับร้อยละ 16.0

จากการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG และการผลักดันเรื่อง Circular Economy ลด Waste ที่เอสซีจีใช้เป็นกลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ส่งผลให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เอสซีจีจึงให้ความสำคัญกับการนำแนวทาง ESG มาผสานให้เป็นเนื้อเดียวกับกลยุทธ์ของแต่ละธุรกิจ (ESG Integration) ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันองค์กรให้เดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง พร้อม ๆ กับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม
ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ที่นี่ จะรองรับประชาชนที่มาฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ 2,000-2,500 คน/วัน

 

You Might Also Like