11 ตุลาคม 2565…โลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่รุนแรงทั้งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในสังคม ดังนั้นภาคธุรกิจไม่เพียงแต่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจเดินหน้าไปสู่ความยั่งยืน

บนเวทีเสวนาในหัวข้อ “Leading Sustainable Business” ในงานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน Sustainability Expo 2022 โดย CEO จากทั้ง 5 ของบริษัทชั้นนำ ได้แก่ เอสซีจี เครือเจริญโภคภัณฑ์ ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป พีทีทีโกลบอลเคมิคอล และไทยเบฟเวอเรจ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองด้านความท้าทาย และเส้นทางเพื่อความอยู่รอดของโลกทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ให้ทรรศนะว่า การดำเนินการเรื่องความยั่งยืนโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องที่มีความไม่แน่นอนสูง เพราะสภาวะการณ์และผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก และต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน 3 สิ่งสำคัญที่เป็นความท้าทายขององค์กร คือ

การสร้าง Shared Vision
เป้าหมายร่วมในองค์กร

ทำอย่างไรที่จะให้องค์กรทั้งภายในและภายนอกเกิดสิ่งที่เรียกว่า Shared Vision คือ ทุกคนมีความเห็นในลักษณะเหมือนกันว่า เรื่องการสร้างความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็น และเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข

“ตั้งแต่เข้าทำงานเป็นวิศวกรที่ เอสซีจี ได้เห็นป้ายติดอยู่หน้าโรงงานเขียนเรื่องอุดมการณ์ 4 ของ เอสซีจี คือ ตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ เชื่อมั่นในคุณค่าของคน และสุดท้าย คือ ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นการปลูกฝังเรื่องเหล่านี้จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรและได้ถ่ายทอดต่อกันมา ดังนั้นเรื่องของความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ โดยสร้างให้องค์กรเกิดการ Shared Vision ขึ้นมา”

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รุ่งโรจน์ ต้องใช้เวลาในการทำเรื่องที่หลายคนถามกันมามากที่สุดคือเรื่องของ “ทำไม” ทำไมต้องทำเรื่องของความยั่งยืน ?

“เรามีวิสัยทัศน์แบบนี้ มีอุดมการณ์แบบนี้ แต่ยังต้องมานั่งคุยกันเรื่อง ทำไม ผมมองว่าเรื่องของความยั่งยืนโดยเฉพาะเรื่องโลกร้อน เป็นเรื่องซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงมาก ความไม่แน่นอนที่ว่าไม่ใช่ในแง่ของผล เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าถ้าเราทำแบบนี้ผลจะเป็นแบบนี้ แต่ความไม่แน่นอนที่พูดถึงหมายถึงเรื่องของเวลา เพราะฉะนั้นการคุยเรื่องทำไมบ่อยๆ สุดท้ายต้องย้อนกลับมาที่หลักการขององค์กรว่าเป็นอย่างไร นั่นคือความท้าทายแรก”

การสร้าง High Impact

องค์กรต้องเลือกทำสิ่งที่สร้าง High Impact โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของความยั่งยืน ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปทั้งธุรกิจและความยั่งยืน

“ในภาคของธุรกิจ มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจอยู่เสมอ การลงทุนแบบนี้จะช่วยในเรื่องของไฟแนนซ์เชียล ขณะเดียวกันไฟแนนซ์เชียลส่วนนี้อาจเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องของความยั่งยืน หรือการลงทุนแบบนี้ช่วยในเรื่องของความยั่งยืนมากแต่ไม่มีไฟแนนซ์เชียล จึงต้องมาคิดกันว่าแล้วอะไรเป็นเรื่องที่เราจะจัดลำดับความสำคัญ ตรงนี้ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องซึ่งในเชิงปฏิบัติทุกองค์กรจะเจอเหมือนกันหมด”

รุ่งโรจน์ แชร์ประสบการณ์ที่จะลดการใช้พลังงานจากถ่านหินมาเป็นพลังงานทางเลือกที่เป็นพลังงานสะอาดให้ได้มากขึ้นในอนาคต

“2-3 ปีที่แล้วเราใช้พลังงานจากถ่านหินถึง 80% ตอนนี้เราลดไปประมาณ 60% และตั้งเป้าว่าอีก 7-8 ปี เราจะเป็น 0 คือไม่มีถ่านหินเลย ที่เหลืออื่น ๆ เป็นพลังงานทางเลือก และ 80-90% จะต้องเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดด้วย อย่างที่ทราบว่าเราเจอวิกฤติในเรื่องของพลังงาน พลังงานจากถ่านหินแพงที่สุดและปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ดังนั้นจึงมองว่าในวิกฤตมีโอกาส เรากำลังจะลดพลังงานที่มีคาร์บอนสูงในขณะเดียวกันเราได้อิมแพคในเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายด้วย เรื่องของ High Impact ผมมองว่าเป็นเรื่องของความท้าทาย แต่เป็นความท้าทายที่ถ้าเราตั้งใจและมองว่าราสามารถทำได้”

การพูดกับทำให้ตรงกัน

รุ่งโรจน์มองว่าเป็นเรื่องสำคัญคือการ “พูดกับทำให้ตรงกัน” โดยเอสซีจีตั้งเป้าเรื่องของความยั่งยืนเช่นเดียวกับการตั้งเป้าหมายทางธุรกิจ รวมถึงการติดตามผล เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เอสซีจี ตั้งเป้าNet Zero ไว้ในปี 2050 เมื่อมีเป้าหมายแน่นอนก็จะทำให้เกิดแผนงานและการดำเนินงานในทุก ๆ ธุรกิจ

ตอนท้าย  รุ่งโรจน์ได้แนะนำสำหรับธุรกิจขนาดกลางและเล็ก การดำเนินกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนควรตั้งต้นจากลูกค้าว่า ลูกค้ามีความต้องการอะไรที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้า การใช้งาน หรือการรีไซเคิล เมื่อนำข้อมูลที่ได้จากลูกค้ามาบวกกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นแนวทางดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะทำให้มีกรณีของความสำเร็จที่สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนกันภายในองค์กร และทำให้เกิดการขยายวงกว้างขึ้นได้